Lifestyle

2ปีที่หายไป.."บิ๊กโจ๊ก" ไปทำอะไรมาบ้าง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ภาพจำ "บิ๊กโจ๊ก" นายตำรวจชื่อดัง ได้สร้างวีรกรรมเอาไว้มากมายให้คนไทยได้ตราตรึง แต่แล้ววันหนึ่ง ภาพของเขากลับหายไปจากสังคมไทย เขาหายไปไหน และไปทำอะไรมาบ้าง

ล่าสุด “ดนัย เอกมหาสวัสดิ์” เปิดใจนายตำรวจคนดัง ผ่านบทสนทนาแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ บิ๊กโจ๊ก “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” ที่ปรึกษา สบ.9 ครั้งแรกบนจอทีวี หลังกลับเข้ารับตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผ่านรายการ “ล้วงให้ลึก ไปให้สุดกับหมาแก่” เนชั่นทีวี ช่อง 22 กับเส้นทางชีวิต รอบ 2 ปี เรียนรู้อะไร.. บทบาท และภารกิจใหม่จากนี้

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

เปิดใจ"บิ๊กโจ๊ก"ในวันที่มีข่าวหวนกลับมาหวานเจี๊ยบ

: 'บิ๊กโจ๊ก'โพลล์ ถกความเชื่อมั่น ออนไลน์  

ถาม : 2 ปีที่หายไปหลายคนมองว่าตกสวรรค์ มองตัวเองอย่างไร และมองอนาคตไว้อย่างไร?

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ : ไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี เพราะผู้ใหญ่ให้ไปพักผ่อนเป็นหลัก ผมไม่เคยวางอนาคต หรือคิดอะไรเยอะ ถามว่าทำไมถึงทำงานหนัก เพราะผมคิดอย่างเดียวคือ อยากใช้ชีวิตที่เหลือทำงานให้แผ่นดิน ทำงานให้ประชาชน เพราะผมกับภรรยาไม่มีลูก ดังนั้นไม่มีอะไรที่ต้องการมากกว่าทุ่มเททำงาน ตั้งใจทำงานให้ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธาในงานของตำรวจ ที่ผ่านมาอาจจะมีประชาชนถูกใจ หรือไม่ถูกใจบ้าง แต่ผมยึดผลประโยชน์ของชาติและส่วนรวมเป็นหลัก

 “ส่วนกรณีที่ฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จนถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำไปเพราะรักษาเกียรติยศ และศักดิ์ศรีของข้าราชการ ยืนยันว่าไม่มีความผิด ไม่ใช่ฟ้องเพราะโกรธเคือง"

สำหรับในห้วง 2 ปี มีเวลาทบทวนตัวเองในสิ่งที่ผิดพลาด คือสมัยเด็กผมเป็นนักเทนนิสทีมชาติ ชุดเยาวชน ผมจึงใช้หลักกีฬามาปรับใช้ เหมือนแข่งเทนนิส หากชนะเป็นแชมป์คือภูมิใจ บางครั้งไปตกรอบแรกก็มี ผมต้องกลับมาพัฒนาตัวเองไปสู้ใหม่ปีหน้า วันนี้ผมเหมือนนักกีฬา เมื่อบกพร่องผิดพลาด ผู้ใหญ่สั่งย้าย ต้องทบทวน และหาจุดอ่อนตัวเอง

“ผมไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ไม่น้อยใจในโชคชะตา ใน 2 ปีที่ผ่านมาผมได้จิตใจที่เข้มแข็ง และลงเรียนนิติศาสตร์ ภาคค่ำ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทบทวนและไม่หยุดหาความรู้ นอกจากนั้นผมไม่หยุดเล่นเทนนิส ทำให้ผมไม่เสียสุขภาพ บทเรียนที่ได้คือ รู้จักพอและอยู่กับปัจจุบัน ผมตั้งใจว่าหากมีโอกาสกลับมาได้จะใช้เวลาที่เหลือทำงานให้ราชการและเพื่อแผ่นดิน"

 ส่วนบทเรียนที่ได้คือ สิ่งที่ผมจะไม่ทำคือ การทำงานที่รวดเร็วเกินไป ขาดหลักกฎหมาย จนทำให้เกิดความเสียหาย และสิ่งที่ต้องทำคือ การทำงานที่รวดเร็ว แต่รอบคอบ มีหลักกฎหมายที่แม่นยำ

ถาม : ตอนนั้นเหลือเพื่อน เหลือลูกน้องกี่คน เหลือถึง 10 ไหม

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ : เพื่อนแทบจะหายหมด เหลือเพียงไม่กี่คนที่อยู่กับผม คอยอยู่เคียงข้าง และให้กำลังใจ ลูกน้องก็เช่นกัน แต่ผมมองเรื่องนี้ว่าเป็นสัจธรรม ที่ต้องไม่ยึดติด ไม่คาดหวัง การช่วยเพื่อนไม่ใช่เพราะต้องการให้เขามาตอบแทน และสิ่งที่ผมต้องเตรียมตัวคือ เตรียมตัวเกษียณไว้ตลอดเวลา คือ เตรียมตัวเตรียมใจทำทุกหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

ถาม : ช่วง 2 ปี ทราบว่าตระเวนทำบุญเยอะมาก?

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ : ผมเป็นคนชอบทำบุญ ตั้งแต่เด็กมักเข้าวัด ไปสวดมนต์นั่งสมาธิคนเดียว เมื่อผู้ใหญ่ให้พักผ่อนจึงใช้เวลาไปวัด และเจอกับพระดีๆ เยอะ สำหรับพระอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือและศรัทธาจริงๆ คือ หลวงปู่บุญมา วัดปราสาทดิน จ.ชัยภูมิ ถึงขนาดที่ผมขับรถจากบ้านตอน 5 ทุ่ม ไปที่วัด เพื่อทำวัตรเช้ากับหลวงปู่ ซึ่งปกติท่านทำวัตรเช้าเวลาตีสามของทุกวัน พอทำวัดเช้า สวดมนต์เสร็จประมาณ 7 โมง ผมจึงกลับเข้ากรุงเทพฯ ที่ไปเพราะด้วยความศรัทธา

ที่ผ่านมาได้ร่วมสร้างพระ หล่อพระเจดีย์ ร่วมกับเพื่อน ประชาชน ญาติบุญ ที่ จ.นครราชสีมา นอกจากนั้นได้ไปบวชที่ประเทศอินเดียกับน้องชาย และเพื่อนอีกคนที่สังเวชนียสถาน ตอนนั้นหากผมไปช้าเดือนหนึ่ง จะไม่ได้บวช เพราะเขาปิดเนื่องจากโควิดระบาด ถือว่าผมโชคดี

“ผมไม่ได้คิดอะไรมากถึงอยู่มาได้ การเป็นข้าราชการไม่ได้คาดหวัง แต่ทำอย่างไรให้มีศักดิ์ศรีเป็นที่เชื่อถือ อย่างน้อยมีดีสักข้อ เพื่อตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่า ทุ่มเททำงานเพื่อแผ่นดินอย่างไร”

 

2ปีที่หายไป.."บิ๊กโจ๊ก" ไปทำอะไรมาบ้าง

ถาม : มีคนฝากถามความรู้สึกตอนที่ไปวัดบึงกระดาน จ.พิษณุโลก ได้ขยับดาบในฝัก หน้าพระนเรศวร และทำพิธีเสริมดวงให้กลับมาเป็นตำรวจที่ยิ่งใหญ่

 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ : ผมไม่ได้คิดว่าจะกลับมาเป็นตำรวจแล้ว แต่ที่ไปวัดบึงกระดานเพราะมีรุ่นพี่ที่เคารพชวนไป ผมตั้งใจไปกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บูรพกษัตริย์ แต่มีทางวัดถ่ายภาพเพื่อทำประชาสัมพันธ์จึงกลายเป็นประเด็น ซึ่งวันนั้นคำกล่าวที่ว่า ขอให้กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม ผมรู้สึกทะแม่งๆ และจากที่มีคลิปเผยแพร่ มีผู้ใหญ่โทรศัพท์ตำหนิว่าเยอะไปแล้ว แต่ทางวัดเขาพยายามกล่าวเพื่อให้เป็นสิริมงคล หลังทราบว่าเรามีปัญหาทุกข์โศก แต่การประชาสัมพันธ์ของวัดทำให้เราได้รับผลกระทบ

ถาม : อายุราชการเหลืออีก 10 ปี ตั้งเป้างานไปถึง ผบ.ตร.หรือไม่

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ : แม้อายุราชการผมเหลืออีก 10 ปี ผมไม่คิดวางเป้าหมาย แม้มีคนจินตนาการ และตั้งความหวังว่าให้เป็นถึง ผบ.ตร.​ เพราะผมมองว่าตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องบุญวาสนา และการทำงานที่มีผู้บังคับบัญชาการให้ความเมตตา วันนี้ผมไม่คิดว่าต้องเป็นอะไร แต่ต้องการทำงานวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อให้วันข้างหน้าแข็งแรง หมายถึงการทำงานวันนี้ ที่ต้องทำให้ประชาชนศรัทธา เชื่อมั่น หากได้เติบโตในตำแหน่ง แต่ระหว่างทางไม่มีอะไรให้ประชาชนศรัทธา ไม่มีเนื้อหาที่ทำให้ประชาชนเชื่อมั่น เชื่อถือ ได้เป็นอะไรก็ไม่มีความหมาย

ถาม : ตอนนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.มอบหมายให้ทำอะไร

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ : ท่านให้รับผิดชอบงานยุทธศาสตร์ภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) และยุทธศาสตร์ชาติ โดยล่าสุดอยู่ระหว่างทำโครงการเมืองอัจฉริยะปลอดภัย หรือ Smart city 4.0 ตามนโยบายของ ผบ.ตร. คือนำเทคโนโลยี นวัตกรรมที่ทันสมัย ทำให้เมืองปลอดภัย โดยจะเริ่มต้นเดือนก.ค. 2564 ใน 3 พื้นที่ของ กทม.นำร่อง คือ โซนพระนครเหนือ โซนพระนครใต้ และฝั่งธนบุรี ผ่านการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด 5,000 ตัวในพื้นที่ กทม.

จากนั้นบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กทม.ที่มีกล้องวงจรปิดในพื้นที่ เพื่อเชื่อมต่อสัญญาณของกล้องมายังสถานีตำรวจในพื้นที่ รวมถึงปรับมุมกล้องวงจรปิดให้มีมุมมองที่สอดรับกัน เพื่อใช้ในการติดตามและสอดส่องอย่างเชื่อมต่อกันกล้องต่อกล้อง จากเดิมที่ปัจจุบันกล้องวงจรปิดในพื้นที่ยังไม่มีมุมที่สอดรับกัน

“การสร้างเมืองอัจฉริยะเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนได้สำเร็จต้องมีเจ้าภาพ คือ ตำรวจ โดยผบ.ตร. ต้องการเพิ่มกล้องอัจฉริยะ คือ กล้องเอไอ เพิ่มเติมจากกล้องที่มีอยู่ อีก 5,000 ตัว เพื่อคัดกรอง สแกน และจดจำใบหน้า นอกจาก 3 โซนในกรุงเทพฯ แล้ว ยังมีพื้นที่นำร่อง คือ จ.ภูเก็ต จ.เชียงใหม่ จ.นครราชสีมา เพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่จะกลับมาหนักหน่วยมีภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว”

สำหรับความคืบหน้าเรื่องนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. ตอบรับเรื่องนี้แล้ว โดยนอกจากการติดตั้งกล้องแล้ว ต้องปรับปรุงภูมิทัศน์และกายภาพพื้นที่ เช่น ไฟส่องสว่าง เกาะกลางถนน เส้นจราจร ทางม้าลาย เป็นต้น

 

2ปีที่หายไป.."บิ๊กโจ๊ก" ไปทำอะไรมาบ้าง

 ถาม : เรื่อง“พีเพิลโพล” แนวคิดและเป้าหมายคืออะไร

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ : เป็นแนวคิดของ ผบ.ตร. ที่ต้องการทราบความต้องการ และความพึงพอใจของประชาชนแบบเรียลไทม์ จากเดิมที่ ตร.มีการประเมินปีละ 1 ครั้ง โดยการสำรวจจะผ่านกูเกิลฟอร์ม มีคำถามให้ประชาชน เช่น ความปลอดภัย พึงพอใจของตำรวจในพื้นที่ และมีคำถามปลายเปิดเพื่อให้ประชาชนร้องเรียนได้ด้วย

เพื่อนำผลสำรวจที่ได้ไปพัฒนางานตำรวจ เพื่อให้ทำงานเชิงรุกมากขึ้น โดยจะทำในเดือนมิถุนายน ถึงกันยายน หรือ 4 เดือน ในปีงบประมาณนี้ ส่วนปีงบประมาณหน้าจะทำต่อตลอด ผบ.ตร.ต้องการนำความเห็นไปพัฒนางานของตำรวจได้ให้เป็นมาตรการสากล โดยผลสำรวจล่าสุด พบว่าประชาชนหวาดกลัวเรื่องการหลอกลวงออนไลน์มากที่สุด

2ปีที่หายไป.."บิ๊กโจ๊ก" ไปทำอะไรมาบ้าง

ถาม : การสำรวจมีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้าย 

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ : มีส่วน เพราะ ผบ.ตร. ยึดหลักการให้การทำงานนำหน้า ต้องดูว่าผู้กำกับ สน.​สามารถสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่ง 5 วัน สามารถเห็นได้ เพราะมีตัวชี้วัด คือความเห็นประชาชน ทั้งนี้ในสถานีตำรวจ 1,500 แห่งทั่วประเทศ กำหนดให้ตอบแบบสอบถามอย่างน้อย 100 คน ซึ่งผมเป็นคนสรุปทุกสิ้นเดือน พบว่ามีคนตอบแบบสำรวจกว่า 1.5. แสนคน ผลสรุปทุกเดือน จะเห็นเป็นกราฟได้ชัดเจนว่าพื้นที่ไหน ผู้กำกับต้องแสดงฝีมือของตัวเองเพื่อให้ประชาชนไว้ไวางใจ ซึ่งยอมรับว่ามีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับนายพัน แต่การแต่งตั้งโยกย้ายนายพลนั้นเดือนสิงหาคมนี้ จบแล้ว

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ