
"พญานกหัสดีลิงค์"สัตว์ป่าหิมพานต์กับ...พิธีศพของล้านนา
ความวิจิตรงดงามที่สะท้อนผ่านสีสันยามต้องแสงของ "ปราสาทนกหัสดีลิงค์" ในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พระพุทธพจนวราภรณ์ หรือ "หลวงปู่จันทร์ กุสโล" พระเถระชั้นผู้ใหญ่แห่งล้านนา เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่
สร้างความตื่นตาตื่นใจให้บรรดาลูกศิษย์ และประชาชนที่เข้าร่วมพิธี เนื่องเพราะปราสาทนกหัสดีลิงค์ที่ถูกเนรมิตขึ้นในครั้งนี้ ต่างจากนกหัสดีลิงค์ทั่วไป แต่เป็น "พญานกหัสดีลิงค์" ซึ่งไม่มีการจัดสร้างมานานหลายสิบปี แต่มีขึ้นในครั้งนี้ เพื่อนำส่งดวงวิญญาณหลวงปู่จันทร์สู่สรวงสวรรค์โดยเฉพาะ
"รุ่ง จันตาบุญ" สถาปนิกผู้จัดสร้าง "พญาแห่งนกหัสดีลิงค์" เล่าถึงที่มาของความเชื่อเกี่ยวกับนกหัสดีลิงค์ กระทั่งถูกเชื่อมโยงเข้ากับพิธีศพของล้านนา ว่านกหัสดีลิงค์เป็นหนึ่งในสัตว์ในเทวคติของชาวล้านนา เล่ากันว่า อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ มีรูปตัวเป็นนกขนาดใหญ่ ส่วนศีรษะมีจงอยปากอย่างงวงช้าง เชื่อกันว่า นกหัสดีลิงค์จะคาบเอาสังขารร่างของผู้วายชนม์เข้าไปยังดินแดนแห่งสรวงสวรรค์แห่งป่าหิมพานต์
ด้วยความเชื่อดังกล่าว ชาวล้านนาโบราณจึงนำมาเกี่ยวข้องกับพิธีศพ มีการสร้างเมรุนกหัสดีลิงค์ขึ้นในพิธีศพ โดยเชื่อว่า นกหัสดีลิงค์ซึ่งมีความแข็งแรงจะเป็น "พาหนะ" นำส่งดวงวิญญาณผู้ตายสู่สวรรค์ชั้นฟ้าได้โดยสะดวก
ในอดีต ชาวล้านนานิยมสร้างเมรุนกหัสดีลิงค์ เพื่อบรรจุศพของกษัตริย์เจ้านายฝ่ายเหนือ รวมถึงพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มรณภาพ เพื่อให้พิธีศพสง่างาม สมฐานะบารมี และเป็นการส่งดวงวิญญาณไปสู่ชาติสรวงสวรรค์ชั้นพรหมโลก เทวโลก แต่ปัจจุบัน เมรุนกหัสดีลิงค์ใช้ในพิธีศพของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ เท่านั้น
รูปลักษณะของตัวนกหัสดีลิงค์ มีรูปร่างโครงสร้างส่วนหัวและลำตัวทำจากโครงไม้ ตัดแต่งกระดาษเป็นลวดลาย ทำเป็นเกล็ด ส่วนหัวช้างมีความพิเศษของการเคลื่อนไหวไปมาได้ โดยชิ้นส่วนคอและหัวต้องเคลื่อนไหวหมุนไปมา ใบหูสามารถพับกระพือได้
ส่วนงวงทำจากผ้า เย็บเป็นทรงกระบอก เลียนแบบงวงช้าง มีเชือกร้อยอยู่ด้านใน สำหรับดึงเคลื่อนไหวได้ ดวงตาต้องมีลักษณะกลมมน ขนตายาวสวย กะพริบได้ เหมือนมีชีวิตจริงๆ โดยส่วนท้องของนกหัสดีลิงค์จะติดกับพื้นดินตามธรรมชาตินกในป่า ขณะที่ส่วนบนจะสร้างปราสาทตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม ครอบบนตัวนกอีกชั้นหนึ่ง
ในพิธีศพพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ปราสาทบนเมรุนกหัสดีลิงค์จะมีเสาไม้ไผ่ ขนาดใหญ่ ๔ ต้น ปัก ๔ มุม ของปราสาท ข้างบนใช้ผ้าจีวร หรือผ้าสังฆาฏิของผู้มรณภาพขึงเป็นเพดาน ภายใต้ความเชื่อว่า ร่างกายประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ต้องแตกสลายไปในที่สุด เพื่อให้ผู้ร่วมงานนำไปคิดปลงอนิจจัง และพระสงฆ์เป็นผู้ประกอบด้วยจตุรปาริสุทธิศีล คือ ศีลเป็นเหตุให้บริสุทธิ์ ๔ อย่าง
ปราสาทบนเมรุนกหัสดีลิงค์ ในพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่จันทร์ จึงปรากฏผ้าจีวรเป็นเพดานสูงสุด ครบถ้วนตามประเพณีล้านนาโบราณทุกประการ
"ช่างรุ่ง" บอกว่า จินตนาการในรูปลักษณ์ของนกหัสดีลิงค์มาจากการเรียนรู้ แบบครูพักลักจำ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ จินตภาพจากกาพย์กลอนที่เคยได้อ่านในสมัยเด็ก โดยสล่าแต่ละคนจะถ่ายทอดผลงานในสไตล์ที่แตกต่าง มีทั้งแบบโบราณดั้งเดิม และประยุกต์รูปลักษณ์แบบร่วมสมัย ปัจจุบันมีช่าง หรือ "สล่า" ในภาคเหนือที่มีความรู้ และประสบการณ์ในการสร้างเมรุนกหัสดีลิงค์เหลืออยู่เพียง ๕ คน ซึ่งในจำนวนนี้ มีทั้งสล่าที่ได้รับการสืบทอดเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่น และสล่ารุ่นใหม่ เช่นเดียวกับตนเอง จนมีการท่องเป็นคำกลอนที่ว่า
"นันทิกาหัสดีลิงค์นกยิ่งใหญ่ ประธานไซร้ในกลุ่มชอุ่มศรี
มีนกอื่นร่วมมากงามตามคดี ย่อมร้องชี้ชวนพระเวสส์วิเศษใด"
นอกจากนี้แล้ว การสร้างปราสาทบนเมรุนกหัสดีลิงค์ ไม่ได้มีแต่ในอาณาจักรล้านนา ตามที่หลายคนเข้าใจ แต่ยังมีความเชื่อเดียวกันในเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า แต่รูปลักษณะของนกหัสดีลิงค์ตามจินตานาการจะแตกต่างกับล้านนา
โดยชาวไทใหญ่ ในเชียงตุงจะถ่ายทอดความเชื่อออกมาเป็นลักษณะของม่าน รอบปราสาทที่ใช้ในพิธีศพ ขณะที่ลาวก็มีผลผลิตทางวัฒนธรรมในการปลงศพ บนเมรุแบบนกหัสดีลิงค์ด้วยเช่นกัน
"เป็นความโชคดีของลูกหลานชาวล้านนา ที่มีประเพณีและวัฒนธรรมที่สวยงาม มีความหมาย และเป็นเอกลักษณ์ เป็นมรดก จากบรรพบุรุษ เพียงแต่ลูกหลานคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่อาจยังหลงใหลไปกับกระแสแห่งยุคสมัย จนหลงลืมสิ่งสวยงามเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว นอกจากสร้างสรรค์ผลงานสืบทอดประเพณีแล้ว สล่าล้านนา ต้องทำหน้าที่ในการอนุรักษ์ไว้ซึ่งศิลปะตามขนบธรรมเนียมและเพณี โดยการปลูกฝังสร้างจิตสำนึกให้กับลูกหลานล้านนารุ่นใหม่ ให้เกิดความรักและหวงแหนสิ่งที่ถูกสืบทอดเหล่านี้ ไม่ให้ถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา" ช่างรุ่ง กล่าวทิ้งท้าย
กว่าจะเป็น "พญาหัสดีลิงค์"
ช่างรุ่ง อธิบายถึงขั้นตอนในการจัดสร้างเมรุพญานกหัสดีลิงค์ว่า เริ่มจากการเขียนแบบบนกระดาษ ใช้เวลาประมาณ ๑ สัปดาห์ เมื่อได้แบบแล้วจึงเริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งประกอบด้วยไม้ไผ่ ไม้งิ้ว กระดาษตะกั่วหลากสีสันนับพันแผ่น รวมทั้งวัสดุปลีกย่อยอื่นๆ
หลังจากได้แบบตามที่ต้องการ จึงประกอบพิธีบวงสรวง ก่อนนำไม้มาขึ้นโครงสร้างเป็นรูปร่างตัวนก
เมื่อได้โครงร่าง จึงนำกระดาษปิดทับ ก่อนจะใช้กระดาษตะกั่วมาประกอบเป็นเกล็ดขนนก พร้อมกับประกอบส่วนหัวนกหัสดีลิงค์เป็นงวงช้าง ที่เคลื่อนไหวได้
และเมื่อทำตัวนกหัสดีลิงค์แล้วเสร็จ ทีมผู้จัดสร้างต้องประกอบพิธีบวงสรวง ก่อนจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ คือ การเคลื่อนย้ายนกหัสดีลิงค์ไปวางไว้บนเมรุที่จัดสร้างขึ้นด้านหน้า "เจดีย์หลวง" ภายในวัด โดยต้องมีการประกอบพิธีบวงสรวงก่อนเคลื่อนย้าย ทุกขั้นตอนของการจัดสร้าง "พญานกหัสดีลิงค์" ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้ถูกต้องตามแบบที่กำหนดไว้ ทำให้ต้องใช้เวลากว่า ๕ เดือน จึงแล้วเสร็จ
ด้วยความเชื่อที่ว่า "พญานกหัสดีลิงค์" เป็นสัตว์ชั้นสูงในเทวคติ ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์แรงกล้าน่าเกรงขาม ผู้ที่สร้างนกหัสดีลิงค์จึงต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ เพื่อให้การดำเนินการจัดสร้างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไร้ซึ่งอุปสรรค
แต่หากผู้สร้างยังเป็น "คนดิบ" หรือผู้ที่มีจิตใจเแปดเปื้อนไปด้วยกิเลสนานาประการแล้ว นอกจากงานอาจไม่ลุล่วงแล้ว ยังอาจเข้าตัวผู้จัดสร้างจนเป็นอันตราย ทางหนึ่งทางใดได้
หลังจากเขียนแบบ วางโครงสร้างแล้วเสร็จ ช่างรุ่งจึงตัดสินใจบวชเพื่อชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนในการประกอบตัวนกหัสดีลิงค์ โดยบวชที่วัดเจดีย์หลวง สถานที่ประกอบพิธีเป็นเวลา ๙ วัน ซึ่งระหว่างนั้น พระรุ่งได้ควบคุมการประกอบนกหัสดีลิงค์ ภายใต้ผ้าเหลืองไปพร้อมกัน
0 เรื่อง / ภาพ เอกพงศ์ ประดิษฐ์พงษ์ สำนักข่าวเนชั่น 0