
"ดับลิน" มากกว่าที่คุณคิดไว้
ยอมรับอย่างไม่อายเลยค่ะว่า สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองเมื่อนึกถึงไอร์แลนด์ คือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน IRA ตามมาด้วยใบ clover สีเขียวขจี สัญลักษณ์ของไอร์แลนด์ แต่ครั้นได้มาเยือนดับลิน เมืองหลวงของประเทศนี้ ก็ได้เรียนรู้ว่าไอร์แลนด์มีอะไรมากกว่านั้น
ดับลินเป็นเมืองที่มีความสำคัญที่สุดของไอร์แลนด์มาตั้งแต่ยุคกลาง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ก็เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีสถาปัตยกรรมสไตล์จอร์เจียนอันลือชื่อ ความสวยงามของสถาปัตยกรรมเหล่านี้นี่เอง ทำให้ดับลินเป็นเมืองท็อปฮิตสำหรับการถ่ายทำหนังประวัติศาสตร์
ว่ากันว่าประเทศที่มีภูมิหลังประวัติศาสตร์ที่ถูกกดขี่ ข่มเหง รันทดเจ็บปวด มักจะผลิตงานวรรณกรรมชั้นยอดออกมา
การท่องไปในเสน่ห์ของเมืองดับลิน ควรเริ่มต้นที่ ถนนโอคอนเนล (O’Connell Street) ซึ่งถือเป็นถนนสายหลักใจกลางเมือง และหนึ่งในถนนที่กว้างที่สุดในยุโรป (เห็นแล้วชวนให้นึกถึงถนนราชดำเนินกลางบ้านเรายังไงยังงั้น) เต็มไปด้วยร้านรวงและผู้คน ทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่
เมื่อมาถึงแล้ว สิ่งแรกที่จะดึงดูดสายตาของผู้มาเยือนทุกคนก็คือ The Spire of Dublin อนุสาวรีย์สเตนเลสรูปเข็มสูงเสียดฟ้ากว่า 120 เมตร ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2002 แทนที่ Nelson Pillar ซึ่งโดนทำลายไปด้วยระเบิดในปี 1966 ถัดจาก The Spire ก็คือ ไปรษณีย์กลางของไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานของรัฐแบบจอร์เจียนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ห่างออกมาเพียงหนึ่งนาทีจากถนนโอคอนเนล เป็นที่ตั้งของ James Joyce Centre นักเขียนชื่อดังชาวไอริช แม้จอยส์จะไม่ได้รับรางวัลโนเบล แต่ก็เป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของไอร์แลนด์ งานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาที่ชื่อ Ulysses ได้แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองดับลินในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ไว้อย่างละเอียดลออ
รูปปั้นเหมือนจริงของจอยส์ ก็อยู่ตรงหัวมุมถนนนอร์ทเอิร์ล ที่ตัดกับถนนโอคอนเนลเช่นกัน
เรื่อยมาจนสุดถนน ผ่านถึงสะพานโอคอนเนล แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนน Crampton Quay เลียบแม่น้ำ Liffey ซึ่งไหลผ่านกลางเมืองดับลิน จะเห็นสะพาน Ha’Penny สะพานคนเดินข้ามแม่น้ำ Liffey ที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองไปเสียแล้ว ตามประวัติบอกว่าจริงๆ สะพานมีชื่อว่า The Wellington Bridge แต่เป็นที่รู้จักในบรรดาชาวเมืองในชื่อดังกล่าว เนื่องจากค่าผ่านสะพานครึ่งเพนนี (half penny) ถ้ามาเยือนดับลินแล้วไม่ได้เดินข้ามสะพานนี้ ก็เหมือนจะมาไม่ถึงแน่ๆ แต่ถ้าจะให้หายอยาก ลองเดินกลับไปกลับมาสองสามรอบก็ไม่มีใครว่าอะไร
ตรงกันข้ามกับสะพาน Ha’Penny คือ ตรอก Merchant Arch และเมื่อเดินเข้ามา ก็จะถึงใจกลางของ Temple Bar ชื่อเหมือนร้านเหล้า แต่จริงๆ แล้วนี่คือถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยผับน่ารัก บาร์ ร้านอาหารนานาชาติ ร้านขายของที่ระลึก รวมทั้งยังเป็นศูนย์กลางของแหล่งวัฒนธรรมและความบันเทิงของดับลิน มีศูนย์ศิลปะและอาร์ตแกลเลอรี่อีกกว่า 50 แห่ง หากแวะไปเยือนที่นี่ตอนกลางคืน ที่พลาดไม่ได้คือสั่งเบียร์กินเนสส์และดื่มด่ำกับไอริชผับอันแสนจะคึกคัก
พูดถึงเรื่องหนังสือ ก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำว่า ควรอย่างยิ่งที่จะไปชม Book of Kells ซึ่งถือเป็นหนังสือชื่อดังเล่มหนึ่งของโลก และหนึ่งในสมบัติประจำชาติไอร์แลนด์ที่ประเมินค่ามิได้ ณ ห้องสมุดของ Trinity College หนึ่งในห้องสมุดที่เก็บรวบรวมหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
Book of Kells เชื่อว่ากำเนิดขึ้นในราวศตวรรษที่ 9 เป็นหนังสือที่เขียนถึงธรรมกถา (Gospel) ของไบเบิลใหม่ ในภาษาละติน ความพิเศษของมันก็คือนอกจากข้อความแล้ว ยังมีการตกแต่งตัวหนังสืออย่างสวยงามด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนาคริสต์ต่างๆ (บางทีก็เรืองแสงด้วย) พร้อมด้วยรูปประกอบที่เต็มไปด้วยรายละเอียดสุดแสนวิจิตรตระการตา
ที่พลาดไม่ได้อีกแห่งคือ โบสถ์เซนต์แพททริค (St. Patrick’s Cathedral) ที่สร้างขึ้นในศตวรรตที่ 11 เพื่ออุทิศแด่นักบวชแพททริค ผู้นำศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกเข้ามาเผยแพร่ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญของชาวไอริช และเป็นที่มาของวัน St. Patrick’s Day ภายในโบสถ์มีการตกแต่งอย่างสวยงาม และมีออร์แกนที่ใหญ่ที่สุด และเสียงดีที่สุดในไอร์แลนด์
หลังจากที่เดินเที่ยวทั่วเมืองแล้ว ขอแนะนำ พิพิธภัณฑ์เบียร์กินเนสส์ (The Guinness Storehouse) ซึ่งนอกจากจะบอกถึงความเป็นมาทุกอย่างของเบียร์อันดับหนึ่งของไอร์แลนด์ อายุกว่า 200 ปีแล้ว ยังจะได้มีโอกาสขึ้นไปนั่งชมวิว บนหอชมวิวซึ่งทำด้วยกระจกใส ในวันที่อากาศดีๆ สามารถมองเห็นออกไปได้ไกล สำรวจดูว่า เราไปที่ไหนมาแล้วบ้าง
มีเกร็ดเล่าว่าประเทศไอร์แลนด์ ต้องแย่งสิทธิ์การใช้พิณเป็นสัญลักษณ์กับกินเนสส์ และถ้าสังเกตดูโลโก้ของกินเนสส์ทุกวันนี้ จะหันคนละข้างกับสัญลักษณ์ประจำชาติ
สิ่งที่เป็นเสน่ห์ที่สุดอีกอย่างหนึ่งของไอร์แลนด์ ก็คือ ความน่ารักเป็นมิตรของชาวไอริชนั่นเอง ไม่ว่าจะเดินเที่ยวเล่น จับจ่ายใช้สอยอยู่ที่ไหนในเมือง ทุกคนที่พบเจอต่างก็อารมณ์ดีเป็นมิตร แบบที่หาไม่ได้บ่อยนักในยุโรป ชนิดที่ว่าหากเดินถ่ายรูปอยู่ อาจจะมีคนไอริชใจดี เข้ามาทัก เข้ามาแซว หรือแม้แต่พนักงานขนกระเป๋า หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร ก็อาจจะชวนคุยอย่างสนุกสนาน
คำแนะนำที่อยากฝากก่อนจากกันวันนี้ หากเตรียมตัวจะไปดับลิน ควรพกเงินไปเยอะๆ เพราะว่านอกจากค่าครองชีพจะสูงอย่างน่าใจหาย ของล่อตาล่อใจ ล่อเงินจากกระเป๋าที่เมืองนี้มีมากมายเหลือเกินค่ะ
เรื่อง- ภาพ... "yongchan"
http://www.oknation.net/blog/yongchan