จมูกสวยมั่นด้วยไขมัน | คมชัดลึก

  เจ้าของผลงานเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายไขมัน นพ.ชลธิศ  สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าการเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายไขมันเป็นนวัตกรรมเสริมความงามล่าสุดที่ตัวเองคิดค้นและพัฒนาขึ้น ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำศัลยกรรมจมูกด้วยซิลิโคน ที่พบบ่อยที่สุดคือกรณีซิลิโคนทะลุ ซึ่งสร้างความเจ็บปวดและทรมานให้แก่ผู้ป่วยจำนวนมาก

 "การคิดค้นเริ่มจากหาวัสดุเพื่อใช้ทดแทนซิลิโคน  ผมใช้เวลากว่า 5 ปี จนมาลงตัวที่การใช้ไขมันในร่างกายมนุษย์ ที่นำมาจากการเจาะไขมันบริเวณสะดือและมีลักษณะเหมือนเอ็นข้อไก่มาใช้เสริมจมูก เมื่อทำการย้ายไขมัน (graft) มาปลูกใหม่บริเวณจมูก  เลือดบริเวณจมูกก็จะทำการหล่อเลี้ยงไขมันจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของจมูก  ซึ่งกรรมวิธีดังกล่าวไม่ยุ่งยากใช้เวลาเพียง 20  นาที เนื่องจากการผ่าตัดต้องทำอย่างรวดเร็วและรอบคอบที่สุดเพื่อลดอาการบอบช้ำของร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ด้วยเช่นกัน” คุณหมอผู้เชี่ยวชาญ กล่าว

 เบื้องต้นพบว่า การทำศัลยกรรมด้วยวิธีดังกล่าวไม่มีผลกระทบและผลข้างเคียงใดๆ เนื่องจากไขมันไม่ใช่สารแปลกปลอมหรือวัสดุสังเคราะห์จึงไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังทำให้รูปทรงของจมูกสวยงามดูเป็นธรรมชาติ และมีความยืดหยุ่นสูงอีกด้วย

 สำหรับความพยายามของแพทย์ไทยในการคิดค้นวัสดุธรรมชาติเพื่อเสริมจมูก ที่ผ่านมามีการนำ กระดูกอ่อน จากบริเวณใบหูหรือบริเวณซี่โครงมาใช้จนเป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากเป็นวัสดุที่หาง่าย แต่กลับไม่เป็นที่นิยมมากนักในปัจจุบันเนื่องจากมีความยุ่งยากซับซ้อนมากกว่า

 ขณะที่วัสดุที่นิยมนำมาใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบันคือ ซิลิโคน ซึ่งมีหลากหลาย โดยแต่ละชนิดยังให้คุณสมบัติที่แตกต่างกันไปด้วย อาทิ ซิลิโคนแบบแข็ง ต้นทุนต่ำ ข้อดีคือตัดแต่งรูปทรงได้ง่าย แต่เมื่อใช้กับร่างกายก็ส่งผลให้ทะลุได้ง่ายและมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ซิลิโคนแบบอ่อน มีความยืดหยุ่นสูง แต่ตัดแต่งรูปทรงได้ยาก ซิลิโคนที่ให้ประสิทธิภาพดีที่สุดสำหรับงานศัลยกรรมคือ ซิลิโคนที่มีความแข็งปานกลาง เพราะมีความยืดหยุ่นสูงดูเป็นธรรมชาติ และจัดแต่งรูปทรงได้ง่าย ซิลิโคนประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมต่อการทำศัลยกรรม

 “ขณะนี้วิธีเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายไขมันยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงกว้าง แต่นับเป็นความก้าวหน้าของวงการแพทย์ไทยที่อาจส่งผลให้จุดประกายแนวคิดใหม่ๆ สำหรับการทำศัลยกรรมในประเทศไทย ตลอดจนกระตุ้นให้แพทย์ไทยเร่งพัฒนาผลงานให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาประเทศต่อไป” นพ.ชลธิศ กล่าวทิ้งท้าย