
ชา"อู่หลง"ก้านอ่อนดอยวาวีต้นแบบ"ชาอินทรีย์"แห่งแรก
กว่า 40 ปีที่ "พินิจ พิทักษ์วารี" ชาวจีนยูนนาน วัย 65 ปี เจ้าของไร่ชาอู่หลงก้านอ่อนแปลงแรกในประเทศไทย แห่งบ้านวาวี ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ผู้ติดใจในรสชาติชาอู่หลง จนถึงขนาดแอบนำต้นชาอู่หลงพันธุ์ดีเข้ามาปลูกในเมืองไทยและลองผิดลองถูกอยู่ 8 ปี ปัจจุบันไ
แม้จะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้เรื่องชา แต่เมื่อได้ลิ้มลองชาอู่หลงก้านอ่อนบนดอยวาวีแล้ว ต้องบอกคำเดียวว่า “ยอดเยี่ยมนัก" เพราะกลิ่นชาหอมกรุ่น ส่วนรสชาติก็กลมกล่อมละมุนละไม แถมยังได้สาวๆ ชาวจีนยูนนานหน้าตาจิ้มลิ้มมาชงชาและสอนวิธีดื่มชาให้อีก ก็ยิ่งให้ชาที่ดื่มมีรสหวานหอมเป็นพิเศษ จนอดไม่ได้ต้องซื้อติดมือกลับมาชงดื่มต่อที่กรุงเทพฯ
นอกจากจะมีชาให้ชิมให้ช็อปแล้ว ดอยวาวียังมีชาให้ชมอีกด้วย ซึ่งนอกจากไร่ชาที่ชาวบ้านปลูกเรียงรายลดหลั่นไปตามไหล่เขาแล้ว ดอยวาวียังมีต้น “ชาพันปี” ที่บ้านใหม่พัฒนา ตามคำบอกเล่าของ "ศุภชัย โพธิ์สุวรรณ" ประธานชุมชนผู้ผลิตชาคุณภาพปลอดภัย ดอยวาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ว่าเป็นหนึ่งในจุดสนใจทางการท่องเที่ยว ชาพันปีต้นนี้วัดเส้นรอบวงบริเวณโคนต้นได้ 150 เซนติเมตร สูงถึง 20 เมตร เป็นชาสายพันธุ์อัสสัมที่ขึ้นเองตามธรรมชาติบนดอยวาวีมาช้านานแล้ว ชาวบ้านจึงนิยมนำใบมาทำ ”เมี่ยง” รับประทานให้ความกระชุ่มกระชวย
ของดีบนดอยวาวียังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะการที่ดอยแห่งนี้มีชนเผ่าอาศัยอยู่ถึง 13 ชนเผ่า 4 ศาสนา ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่ชา ทำให้ดอยแห่งนี้มีวัฒนธรรมและประเพณีการแต่งกาย บ้านเรือน และภาษาของแต่ละชนเผ่าที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป แต่ว่าทุกคนบนดอยวาวีต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติที่โอบล้อม
จากการที่หน่วยงานภาครัฐเข้าไปดูแลและส่งเสริมในเรื่องเกษตรอินทรีย์ ทำให้ไร่ชาบนดอยแห่งนี้จากเดิมที่ใช้สารเคมี ทั้งปุ๋ยและยาก็เปลี่ยนมาเป็นเกษตรอินทรีย์เกือบ 100% จึงมั่นใจในเรื่องคุณภาพผลผลิตของชา เห็นได้จาก ประเสริฐ พิทักษ์วาวี ทายาทของพินิจวัย 30 เศษ ที่ปัจจุบันรับช่วงต่อจากผู้เป็นบิดามา ดูแลไร่ชาอู่หลงอย่างเต็มตัวระบุว่า
ปัจจุบันครอบครัวตนมีพื้นที่ปลูกชาทั้งสิ้นประมาณ 60 ไร่ ใช้ระบบเกษตรอินทรีย์ 100% แบ่งเป็นชาอู่หลง 15 ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นพันธุ์อัสสัม ซึ่งเป็นชาพื้นเมืองที่ปลูกกันมากบนดอยแห่งนี้ โดยเริ่มจากการทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองเพื่อลดต้นทุน แต่หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อใช้กันเองในชุมชน การผลิตยาฆ่าแมลงตามธรรมชาติหรือชีววิธี ทำให้วันนี้เจ้าของไร่ชาหันมาทำไร่ชาอินทรีย์กันเกือบทั้งดอย
"ปัจจุบันชาอู่หลงจะให้ผลผลิตอยู่ที่ 150-200 กิโลกรัมต่อการเก็บเกี่ยวในแต่ละครั้ง ซึ่งห่างกันประมาณ 45 วัน ส่วนสนนราคาอยู่ที่ 1,500-2,000 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะชาอัสสัมอยู่ที่ 60-70 บาทเท่านั้น ส่วนการเก็บใบชาที่ดีที่สุดเริ่มตั้งแต่ตีห้าจนถึงสิบโมงเช้า แล้วก็บ่ายสองโมงถึงสามโมงเย็น เดือนที่ชาให้รสชาติดีที่สุดคือช่วงพฤษภาคม-สิงหาคม ชาจะมีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อมมากที่สุด" ทายาทไร่ชาอู่หลงก้านอ่อนให้ข้อมูล
"ไร่ชาของผมใช้ปุ๋ยอินทรีย์มาเกือบ 20 ปีแล้ว ช่วงแรกๆ จะทำกันเอง นำเศษใบไม้ผสมกับมูลวัว แกลบทำเป็นปุ๋ยหมัก แต่หลังจาก วช.เข้ามาแนะนำในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา การผลิตปุ๋ยของชุมชนก็มีคุณภาพมากขึ้น เพราะมีวิชาการเข้ามา ทำให้ผลผลิตชามีคุณภาพ ทั้งเรื่องรสชาติที่กลมกล่อมและกลิ่นที่หอมน่ารับประทานมากขึ้น ผลผลิตที่ได้มีทั้งขายในประเทศและส่งไปขายที่จีนและไต้หวัน ผมยืนยันได้เลยว่าชาดอยวาวีคุณภาพไม่แพ้ที่ใดในโลก โดยเฉพาะชาอู่หลง" ประเสริฐ กล่าวอย่างมั่นใจ
นับเป็นอีกก้าวของ "ชาอู่หลง" บนดอยวาวีที่เน้นระบบเกษตรอินทรีย์ควบคุมการผลิต ภายใต้การส่งเสริมและสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จนได้ผลผลิตชาที่มีคุณภาพ รสชาติดี หอมกลมกล่อม เป็นที่ยอมรับของนักดื่มชาทั่วไปในทุกวันนี้
สุรัตน์ อัตตะ