ไลฟ์สไตล์

โรคพาร์กินสัน

โรคพาร์กินสัน

11 ม.ค. 2553

โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) หลายคนคงสงสัยว่า โรคนี่คือโรคอะไร ถ้าสังเกตให้ดี เมื่อเดินไปตามท้องถนน อาจจะพบคนที่เดินตัวเกร็งๆ มือสั่นๆ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า สันนิบาตลูกนก

แต่ที่เห็นเดินกันตามท้องถนนนั้น ยังถือว่า เป็นไม่มาก เพราะผู้ป่วยยังสามารถเดินได้ แต่ 15% ผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันจะมีอาการมากจนไม่สามารถเดินออกไปนอกบ้านได้ ด้วยเหตุที่เกร็งมากจนก้าวไม่ออก หรือกินยาแล้วไม่ตอบสนอง แต่กลับทำให้มีกล้ามเนื้อขยับผิดปกติ
 ในอดีตคนไทยน้อยคนนักจะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง 63 ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย 64 ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง 45 ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นในคนไทยเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคทางระบบประสาทที่มีชื่อเรียกว่า โรคพาร์กินสัน โรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ (อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป) โดยมีอาการทางระบบประสาทที่เด่นชัด 3 ประการ ได้แก่ 
 1.อาการสั่น
 2.อาการเกร็ง
 3.อาการเคลื่อนไหวช้า
สาเหตุ
 1.ความชราภาพของสมอง 
 2.รับประทานยาทางด้านจิตเวช/ยารักษาอาการเวียนศีรษะ
 3.อุบัติเหตุศีรษะถูกกระทบกระเทือน
 4.อาการของหลอดเลือดในสมองอุดตัน
 5.การโดนสารพิษที่ทำลายสมอง
 6.การเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจน
 7.โรคพันธุกรรม
อาการทางระบบประสาทที่เด่นชัด 4 ประการ ได้แก่
 1.อาการสั่น
 2.อาการเกร็ง
 3.อาการเคลื่อนไหวช้า
 4.การสูญเสียการทรงตัว
 ในอดีต โรคนี้รักษาไม่ได้ และอาการของผู้ป่วยจะเป็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับเตียงตลอด ในที่สุดก็จะเสียชีวิตเพราะโรคแทรกซ้อน แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้สามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างดี และสามารถทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นมาก
 โรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมอง ในส่วนลึกๆ ซึ่งมีกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำ มีจำนวนลดลง หรือบกพร่องในการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดปามีน จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวช้า เกร็ง และสั่น เกิดขึ้นตามลำดับ ดังนั้นในปัจจุบันการรักษาโรคนี้ จึงมุ่งให้สมองมีระดับโดปามีนกลับสู่ค่าปกติ ซึ่งทำได้โดยการรับประทานยาหรือผ่าตัดสมอง
นวัตกรรมในการรักษา
 1.รักษาทางยา รับประทานยาต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้น
 2.การรักษาทางกายภาพบำบัด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้อง ป้องกันการหกล้ม กระดูกหัก
 3.การรักษาโดยการผ่าตัด การฝังเครื่องกระตุ้นสมองที่เรียกว่า Deep Brain Stimulation (DBS) ถือได้ว่าเป็นวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนี้ หลักการทำงานของ Deep Brain Stimulation (DBS) คือ อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปกระตุ้นสมองส่วนที่ทำงานผิดปกติด้วยความถี่สูงเพื่อยับยั้งการทำงานของสมองส่วนนั้นๆ การรักษาด้วยวิธีนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นทันทีหลังจากได้รับการผ่าตัด และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ 
โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร.1719