ไลฟ์สไตล์

สกย.นำ"ยางไทย"สู่เสถียรภาพชุมชนเพิ่มกำไร-ลดความเสี่ยงแก่เกษตรกร

สกย.นำ"ยางไทย"สู่เสถียรภาพชุมชนเพิ่มกำไร-ลดความเสี่ยงแก่เกษตรกร

27 ธ.ค. 2552

กว่า 17 ปี ที่ประเทศไทยครองอันดับหนึ่งในด้านการส่งออกยางพาราสู่ตลาดโลก และมีแนวโน้มที่จะขยายผลผลิตออกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตลาดหลักทั้งในประเทศจีนและตลาดกลุ่มประเทศยุโรป(อียู) ทั้งนี้ประเทศไทยมีพื้นดินที่อุดมด้วยแร่ธาตุที่เหมาะแก่การเพาะปลูกยางพารา โดยเฉพาะ

  สำหรับแหล่งปลูกยางพารานั้นเดิมจะปลูกเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก แต่ต่อมารัฐบาลขยายพื้นที่ปลูกไปยังภาคต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ในโครงการขยายพื้นที่ปลูกยางพารา 1 ล้านไร่ ที่เริ่มดำเนินโครงการเมื่อปี 2547

 เพื่อให้ประเทศไทยครองความเป็นเจ้าในการผลิตและส่งออกยางพารา หน่วยงานของรัฐจึงดำเนินกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้และเข้าใจในการทำสวนยางพาราอย่างถูกต้องแก่เกษตรกร 

 อย่างล่าสุดสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) อยากสร้างแหล่งเรียนรู้ให้เกษตรกรชาวสวนยางให้เข้าใจในกระบวนการผลิต/แปรรูปยาง และการจัดตั้งสหกรณ์กองทุนสวนยาง จึงนำสื่อมวลชนศึกษาดูงานยางพาราภาคตะวันออก ที่กลุ่มบริษัทไทยอีสเทิร์น ต.เขาซก อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี จากนั้นไปที่บริษัท ไกรทิพย์ รับเบอร์ จำกัด ต.ทางเกวียน อ.แกลง จ.ระยอง ซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปยางพารา และแวะที่สหกรณ์กองทุนสวนยางวังพรม จำกัด ต.เขาแก้ว อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ปิดท้ายด้วยการไปศึกษาดูงานภายใต้กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางใน จ.ตราด

 เกริกกุล โกกนุทาภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัทและผู้จัดการฝ่ายผลิตและผู้จัดการฝ่ายคุณภาพ กลุ่มบริษัท ไทยอีสเทิร์น จำกัด พูดถึงข้อมูลสถานการณ์ยางพาราว่า ปริมาณการผลิตยางธรรมชาติของโลกปี 2552 มีแนวโน้มลดลงร้อยละ 4.8 จากปี 2551 หรือ 9.4 ล้านตัน เนื่องจากสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งผลิต โดยเฉพาะในประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งลดลงร้อยละ 6.0 ตลอดจนผลผลิตจากทั่วโลก แต่แนวโน้มผลผลิตยางธรรมชาติทั่วโลกปี 2553 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7% เป็น 9.7 ล้านตัน และความต้องการการใช้ยางธรรมชาติจะฟื้นตัวเนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะมีความต้องการใช้ยางของตลาดโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 หรือเพิ่มเป็น 9.71 ล้านตัน

 “ปี 2553 ผลผลิตจากไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีพื้นที่กรีดใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะภาคตะวันนออกเฉียงเหนือ ตามโครงการสนับสนุนการเพิ่มพื้นที่ปลูกยางของรัฐบาล ซึ่งจะอยู่กิโลกรัมละ 80-100 บาท และปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 3 ล้านตัน เพิ่ม 2-3% ส่วนปัจจัยที่ส่งผลกระทบด้านราคาได้แก่ นโยบายด้านภาษีนำเข้าของประเทศจีน ซึ่งมีการประกาศลดภาษีนำเข้าโดยจะเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2553 ส่งผลให้ราคาอาจมีการปรับตัวสูงขึ้นได้ สภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยจะทำให้ผลผลิตลดลง ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นมาก และสภาวะเศรษฐกิจโลก” เกริกกุล กล่าว
 
 ในขณะที่ วิทย์ ประทักษ์ใจ ผอ.สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) กล่าวว่า ประเทศไทยครองอันดับ 1 ในการส่งออกยางพารามากว่า 17 ปี และอนาคต สกย.จะมีโครงการฝึกอบรมสร้างครูยาง ซึ่งเปรียบเสมือนหมอดินอาสาที่จะต้องเป็นเกษตรกรผู้ทำสวนยางและสามารถสอน ถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรคนอื่นๆ ได้ จึงมีเป้าหมายจะสร้างครูยางประมาณ 1.2 หมื่นคน ซึ่งครูยาง 1 คนจะทำหน้าที่สอนเกษตรกรได้ 100 คน โดยเฉพาะภาคอีสาน เพื่อสร้างหลักประกันพื้นฐานให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง และส่งเสริมให้มีการแปรรูปยางพารามากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าและสร้างเสถียรภาพให้แก่ตลาดวัตถุดิบ

 “เกษตรกรจะต้องตั้งกลุ่ม รวมกลุ่มเป็นชุมนุมสหกรณ์สวนยาง ยางจะได้ราคาสูง เช่น การรวมกลุ่มจ้างเหมาโรงงานแปรรูปยางแผ่นดิบให้เป็นยางรมควันอัดก้อนส่งออก เพื่อลดปริมาณยาง และเป็นกลไกดึงราคายางให้สูงขึ้น เช่น โรงงานแปรรูปยางพาราของบริษัท ไกรทิพย์ รับเบอร์ จำกัด ใน ต.ทางเกวียน อ.แกลง จ.ระยอง ที่รับแปรรูปยางแผ่นดิบของชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยาง จ.จันทบุรี กำลังทำอยู่ โดยสามารถติดต่อค้าขายยางโดยตรงกับบริษัทต่างชาติจากเกาหลีจนประสบผลสำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศ ซึ่งจะมีโครงการจัดตั้งชุมนุมสหกรณ์เพื่อสร้างประโยชน์และนำร่องในจังหวัดต่างๆ ต่อไป” ผอ.สกย.กล่าว

 ด้าน เจือง อืดยาง รองประธานกรรมการสหกรณ์กองทุนสวนยางวังพรม จ.จันทบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันมีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์กองทุนสวนยาง เพื่อฝึกทำธุรกิจแปรรูปยางและจัดการด้านการตลาดกันเอง โดยทำธุรกิจผลิตยางแผ่นรมควัน ขายน้ำยางสด และขายเคมีเกษตร ซึ่งส่งผลดีต่อเกษตรกร ให้มีอาชีพที่มั่นคง เพราะนอกจากน้ำยางพาราจะแปรรูปได้แล้ว ต้นยางและลูกยางก็สามารถขายสร้างรายได้เสริมได้อีกด้วย เช่น ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ประดิษฐ์เป็นของประดับต่างๆ

 "คนที่จะปลูกยางจะต้องเริ่มจากการหาพันธุ์กล้ายางที่ดีก่อน จากนั้นศึกษาวิธีการปลูกยาง แล้วก็สำรวจตลาด โดยจะต้องไม่ตื่นเต้นกับราคายางในตลาด แต่จะต้องรู้จักเก็บยางไว้ตรึงราคา เพื่อเอาไว้ขายในยามที่ยางขาดตลาด" เจือง กล่าว
เจือง ให้เหตุผลอีกว่า ยางพาราเป็นพืชที่ปลูกง่าย ลงทุนน้อย แต่ใช้เวลา 7 ปี จึงกรีดได้ แต่เมื่อให้ผลผลิตก็นับว่าคุ้มค่ากับการลงทุน เพราะตั้งแต่เข้ามารวมกลุ่มเป็นสหกรณ์กองทุนสวนยาง ก็ทำให้ขายยางได้ง่ายขึ้น ขณะนี้กลุ่มประสบผลสำเร็จในการควบคุมและดูแลผลิตภัณฑ์ยางแปรรูปได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้แก่ชาวสวนยางพารา นอกจากนี้ยังมีเงินเหลือเก็บอย่างพอเพียง

  ใครทำอะไร ก็หวังกับสิ่งนั้น คนทำยางก็เช่นเดียวกัน หากแต่จะต้องรู้จักการหาวิธีการที่เหมาะสม เพื่อยึดราคากลไกการตลาดให้ได้มากที่สุด พร้อมกันนี้จะต้องเป็นผู้รู้ในเรื่องยางอย่างถ่องแท้ ดังคำที่ว่า ต้องสร้างเสถียรภาพแก่ชาวสวนยาง

วิรัตน์ ภูดวงศรี