ไลฟ์สไตล์

สธ.ดันยาขับเหล็กเข้าบัญชียาหลัก

สธ.ดันยาขับเหล็กเข้าบัญชียาหลัก

06 มี.ค. 2552

สธ.ดันยาขับเหล็กเข้าบัญชียาหลักฯ อุ้มผู้ป่วยธาลัสซีเมียเข้าถึงยาได้ง่าย ระบุคนไทยกว่า 5 หมื่นคนจำเป็นต้องได้รับยาขับธาตุเหล็ก สปสช.จัดงบซื้อยาปีแรก 38 ล้านบาท คาดช่วยได้ 5,000 ราย ก่อนขยายเพิ่มครบทุกคน

 นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2552 ซึ่งในประกาศดังกล่าว มียา Deferiprone บรรจุเพิ่มเติมอยู่ในบัญชี จ ข้อย่อย 1 สำหรับผู้ป่วยบัตรทองตาม "โครงการเพิ่มการเข้าถึงยาขับธาตุเหล็กของผู้ป่วยธาลัสซีเมียในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะมีผลบังคับในเร็วๆ นี้ และได้มอบนโยบายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ส่งออกยานี้แก่ประเทศที่มีปัญหาโรคธาลัสซีเมียด้วย
 นายวิทยากล่าวอีกว่า ยา Deferiprone เป็นยารับประทานมีประสิทธิผลและปลอดภัยในการรักษาภาวะเหล็กเกินในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย สะดวกในการใช้และมีราคาถูกกว่ายาชนิดฉีด อย่างไรก็ตาม ยาชนิดรับประทานที่มีจำหน่ายยังมีราคาสูง เพราะเป็นยาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อภ.จึงได้พัฒนาผลิตยานี้ขึ้น ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบตัวยาสำคัญจนกระทั่งการผลิตยาสำเร็จรูป และได้รับทะเบียนยาในชื่อการค้าว่า GPO-L-ONETM  จาก อย. ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2551 โดยยาได้ผ่านการวิจัยและพัฒนาจนได้รับการยืนยันว่าเท่าเทียมกับยาต้นแบบ และจำหน่ายในราคาที่ไม่หวังกำไร คือ 3.50 บาทต่อเม็ด
 “ไทยมีผู้ป่วยธาลัสซีเมีย 5 แสนคน เมื่อยาชนิดนี้บรรจุเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ จะลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และทำให้ผู้ป่วยธาลัสซีเมียที่จำเป็นต้องใช้ยาขับธาตุเหล็กที่มีอยู่ 5 หมื่นคนเข้าถึงยาได้ เนื่องจากยาชนิดฉีดราคาแพง และวิธีการใช้ยายุ่งยาก ขณะที่ยา deferiprone เป็นยาชนิดรับประทานใช้สะดวกกว่า แต่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาแพง” นายวิทยากล่าว
 นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การจัดซื้อยานี้ สปสช.จะจ่ายเงินให้แก่ อภ.แล้วให้ อภ.จ่ายยาตรงให้แก่ 35 โรงพยาบาล ใช้งบประมาณ 38 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยผู้ป่วยได้ 5,000 คน และในอนาคตจะขยายเพิ่มครบ 5 หมื่นคน