
คันฉ่องและโคมฉาย - สักวันหนึ่ง...ชีวิตจะหาไม่ (7) สุขอยู่ที่ไหน ทุกข์ก็แอบอยู่ตรงนั้น
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ไม่มีการครอบครองใดๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ หรือ ไม่มีการยึดติดถือมั่นใดที่ไม่ก่อให้เกิดทุกข์
ดังนั้นเราจะต้องตระหนักรู้อยู่เสมอว่า เวลาที่เรารักใคร ครอบครองสิ่งใด ยึดติดถือมั่นอะไร ขอให้รู้เอาไว้ว่า มันมีคุณค่าเป็นความทุกข์แฝงอยู่ในนั้นด้วย ทำใจไว้ล่วงหน้าเลยว่า สมการแห่งความทุกข์ก็คือ “ความยึดติดถือมั่น = ความทุกข์” อย่างบางคนเป็นสามี ภรรยากัน ในวันวานมือที่เคยตระกองกอดเราด้วยความรักอยากทะนุถนอมอาจจะเป็นมือเดียวกันกับที่ตบเราจนคว่ำในวันนี้เลยก็ได้ ปากที่เคยพร่ำชื่นชมเรา วันดีคืนดีอาจจะเป็นปากเดียวกันกับที่ด่าเราไฟแลบ ลำแขนที่เคยโอบอุ้มเชิดชูอาจเป็นสองแขนที่ทุ่มเราทึ้งจนแตกกระจาย เตรียมใจไว้ได้เลยว่าชีวิตคนเรามีสองด้าน เหมือนเหรียญกษาปณ์ที่มีทั้งด้านหัวและก้อย
คนที่เราเคยรักนักหนา เดี๋ยววันหนึ่งก็ทำให้เราต้องทุกข์แทบล้มประดาตาย แล้วคนที่ทำให้เราต้องทุกข์แทบล้มประดาตาย เดี๋ยวก็พลิกขึ้นมาทำให้เราสุขจนแทบสำลักก็มี เห็นไหมว่าชีวิตนี่มีสองด้านอย่างนี้ แต่คนส่วนใหญ่ชอบชีวิตด้านเดียว ชอบแต่ด้านที่ชื่นชม แต่ด้านขมขื่นไม่ชอบ และด้านที่เราไม่ชอบ เราก็จะพยายามหลับหูหลับตาไม่ยอมศึกษา ไม่ยอมเรียนรู้ ไม่ยอมเผชิญ เราจึงมีชีวิตที่ตื่นอยู่อย่างผู้มืดบอด ชอบสุขแต่ปฏิเสธทุกข์ โดยหารู้ไม่ว่าสุขอยู่ที่ไหน ทุกข์ก็แอบอยู่ตรงนั้น เราควรพัฒนาปัญญาให้สามารถเห็นสุขในทุกข์ เห็นทุกข์ในสุข ถ้าทุกข์เกิดขึ้นมาจะได้มีปัญญาไม่กลัวทุกข์
เมื่อสักสิบปีก่อน มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนในแวดวงบันเทิง แต่งงานกับลูกผู้มีอันจะกินคนหนึ่งต่อมาก็ท้องลูกคนแรก แล้วก็เหมือนเรื่องที่เล่ามาก่อนหน้านี้เลย พอลูกคลอดออกจากท้องแม่มาได้เพียงห้าวันก็เสียชีวิต ลูกเสียชีวิตปุ๊บ แม่ทำใจไม่ได้ถึงกับเป็นลมอยู่หลายครั้งหลายหน ถึงวันเผาลูกแม่ไม่มีแรงแม้กระทั่งถือจะดอกไม้จันทน์ขึ้นไปวางบนเชิงตะกอนที่เผาศพลูก
ขณะที่แขกเหรื่อทยอยเดินถือดอกไม้จันทน์ขึ้นไปวางบนเชิงตะกอนนั่นเอง วัดได้เปิดพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อเจ้าอาวาสไปด้วย ผู้หญิงคนนั้นนั่งทรุดอยู่ในศาลาเงียบๆ น้ำตาไหลเป็นทาง รักลูก เสียใจเพราะเสียลูก ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง มองเห็นคนนอื่นเดินเป็นแถวขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ให้ลูกของตัวเอง น้ำตารื้นเหมือนกับชีวิตจะไปต่อไม่ได้อีกแล้ว ลองคิดดูนะ ลูกเกิดมาแค่ห้าวัน เขายังริบเอาความสุขไปจากหัวใจของแม่ได้ขนาดนี้ นี่ถ้าเขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนมีอายุมากแล้ว ผูกพันกันลึกซึ้งแล้ว ผู้เป็นแม่จะทำใจยากลำบากมากกว่านี้อีกสักกี่เท่า
ในระหว่างที่เธอกำลังถูกความทุกข์เข้ากลุ้มรุมอยู่นั่นเอง เสียงธรรมเทศนาก็ลอยมาเข้าโสตประสาทของเธอว่า ชีวิตของคนเรานั้นมีบทเรียนอยู่สองบทคือ บทเรียนยากและบทเรียนง่าย คนส่วนใหญ่พอใจที่จะเรียนบทเรียนง่ายๆ แล้วหลงลืมหรือปฏิเสธบทเรียนยากๆ บทเรียนง่ายๆ เช่น ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข พอเราได้ลาภเราก็ยิ้ม พอได้ยศเราก็ยิ้ม พอถูกสรรเสริญเราก็ยิ้ม พอมีความสุขเราก็ยิ้ม เราหลงลืมไปว่า แท้ที่จริงเหรียญนั้นมีสองด้าน ชีวิตมีสองบทเรียน เพราะได้ลาภย่อมคู่กับเสื่อมลาภ ได้ยศย่อมคู่กับเสื่อมยศ สรรเสริญย่อมคู่กับนินทา สุขย่อมคู่กับทุกข์ เป็นเช่นนี้เอง
"ว.วชิรเมธี"