ไลฟ์สไตล์

ศธ.อุ้มเด็กต่างด้าวแสนคนที่เร่ร่อนให้เรียนหนังสือ

ศธ.อุ้มเด็กต่างด้าวแสนคนที่เร่ร่อนให้เรียนหนังสือ

08 ธ.ค. 2552

ประมาณการกันว่า “เด็กต่างด้าว“ ในประเทศไทยมีทั้งหมด 2.6 แสนคน กระจายอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5,000 คน นั่นหมายความว่า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงภายใน 10 ปีนี้ จะมีเด็กต่างด้าวบนพื้นแผ่นดินไทยรวมแล้ว

เด็กต่างด้าวส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย หากแต่ติดตามพ่อแม่ที่เข้ามาขายแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานเชื้อสายพม่า เพราะฉะนั้นเด็กต่างด้าวจึงกระจุกตัวมากที่สุดอยู่ในเขต อ.แม่สอด จ.ตาก ด่านชายแดนสำคัญระหว่างไทยและพม่า มีแรงงานจากประเทศพม่ากว่า 1 แสนคน ทะลักเข้ามาขายแรงงานในตัวเมืองแม่สอด และตามแหล่งงานที่กระจายอยู่ตามถนนเลียบชายแดนที่เชื่อมระหว่าง อ.แม่สอด กับ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งชุกชุมไปด้วยพื้นที่เกษตรที่ต้องการคนงานราคาถูก

 อย่างไรก็ตาม เด็กต่างด้าวที่เร่ร่อนในผืนแผ่นดินไทยนั้น มีจุดเปราะบางที่จะนำไปสู่ปัญหาในอนาคตได้มาก เพราะพวกเขาจำนวนมาก "ไม่ได้รับการศึกษา"

 จากเด็กต่างด้าวจำนวน 2.6 แสนคน มีแค่ 1.6 แสนคน ที่ได้รับการศึกษา ในจำนวนเด็กต่างด้าว 6 หมื่นคน ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย โดยกระทรวงศึกษาธิการลงไปโอบอุ้มนำตัวเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาล ที่เหลืออีก 1 แสนคน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียนอยู่ในศูนย์การเรียนของเอ็นจีโอ ซึ่งได้รับทุนดำเนินการจากต่างชาติและไม่ได้จัดการศึกษาตามระบบของไทย อีกกลุ่มเป็นเด็กไร้สัญชาติที่อยู่ในศูนย์พักพิงผู้อพยพ และได้รับการศึกษาที่จัดโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) เด็กที่อยู่ในศูนย์พักพิงผู้อพยพนี้ รัฐบาลไทยจะไม่เข้าไปยุ่ง เพราะถือว่าเป็นผู้ลี้ภัยที่เข้ามาพักพิง เพื่อรอส่งต่อประเทศที่สาม ซึ่งอยู่ในอำนาจการดูแลของยูเอ็นเอชซีอาร์

 เด็กต่างด้าวอีกเกือบ 1 แสนคน ยังมีสภาพเป็นเด็กเร่ร่อน ไม่ได้รับการศึกษา และนั่นคือ กลุ่มเป้าหมายที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ประกาศว่า จะต้องนำพวกเขาทั้งหมดเข้ารับการศึกษาให้ได้ ทั้งนี้เพื่อเหตุผล "ด้านความมั่นคง"

 “เด็กต่างด้าวที่อยู่ในไทยนั้น ไม่รู้จะกลับประเทศหรืออยู่ในประเทศไทยถาวร เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ดำเนินการใดๆ กับเด็กเกือบ 1 แสนคน ที่ยังไม่ได้รับการศึกษา จะต้องเกิดปัญหาในอนาคตอย่างแน่นอน หรือถ้าปล่อยให้ศูนย์การเรียนของเอ็นจีโอ จัดการศึกษาให้เด็กกลุ่มนี้อย่างเดียว ก็อาจเกิดปัญหา เพราะเขาไม่ได้สอนในระบบการศึกษาไทย เพราะมาตรฐานครู หลักสูตร อาจไม่ได้เป็นอย่างที่ควรจะเป็น“ ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้เหตุผลที่กระทรวงศึกษาธิการเริ่มขยับตัวอุ้มเด็กไร้สัญชาติเข้าสู่การศึกษาในระบบมากขึ้น

 เหนืออื่นใด ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การตามตัวเด็กต่างด้าวเข้าสู่ห้องเรียนเท่านั้น แต่คือการทำให้พวกเขาได้รับการศึกษาที่ให้พื้นฐานความ "เป็นคนไทย" แก่พวกเขา ต้องสอนให้เขารู้ภาษาไทย รวมถึงวัฒนธรรมไทย ประเพณีไทยด้วย เพื่อให้เด็กต่างด้าวใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมไทยได้อย่างสันติสุข ไม่ก่อปัญหาในอนาคต

 เพราะฉะนั้น ภารกิจของกระทรวงศึกษาธิการไม่เพียงต้องเร่งขยายการจัดการศึกษารองรับเด็กต่างด้าวที่ยังไร้การศึกษา ซึ่งต้องช่วงชิงเด็กไร้สัญชาติกับเอ็นจีโอ ที่ขยายกำลังจัดการศึกษาเช่นกัน แต่ต้องการสร้างสะพานให้สามารถเข้าไปสอดส่องดูแลการจัดการศึกษาของเอ็นจีโอ รวมถึงให้ทิศทางในการจัดการศึกษาด้วย ซึ่งขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการกำลังยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีจัดระบบการขจัดการศึกษาของเอ็นจีโอ เพื่อใช้กฎหมายนี้จัดระบบศูนย์การเรียนของเอ็นจีโอ

 ชัยวุฒิ กล่าวว่า ระเบียบนี้ ศูนย์จะต้องมาลงทะเบียนปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ที่สำคัญ จะต้องมีการสอนภาษาไทย ประเพณีวัฒนธรรมให้เด็กต่างด้าว จะต้องปรับหลักสูตร ซึ่งจะได้ความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยเป็นการแลกเปลี่ยน และศูนย์ใดที่มีความพร้อมอาจพัฒนาไปเป็นโรงเรียนเอกชนตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนได้ แต่ศูนย์ที่ไม่ยอมมาจดทะเบียนจะกลายเป็นศูนย์เถื่อน ซึ่งกฎหมายที่มีอยู่สามารถเอาผิดได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าศูนย์ที่บริสุทธิ์ใจจริง ตั้งใจจัดการศึกษาเพื่อเด็กจะต้องมาจดทะเบียนอย่างแน่นอน

 ชัยวุฒิ ย้ำว่า จะใช้มาตรการเชิงบวกมาจูงใจศูนย์มาเข้าระบบ เช่น เรื่องของการให้สถานภาพที่ถูกกฎหมายแก่ครูของศูนย์ ซึ่งปัจจุบันครูส่วนใหญ่ของศูนย์เข้าเมืองไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และการวางระบบให้เด็กที่จบจากศูนย์สามารถเทียบโอนความรู้มาเรียนต่อที่อื่นได้ รวมทั้งความช่วยเหลือเป็นตัวเงินจากรัฐบาล เพราะปัจจุบันเด็กต่างด้าวที่เรียนอยู่ในโรงเรียนรัฐก็ได้รับเงินอุดหนุนรายหัวในอัตราเท่ากับเด็กไทย

 เงื่อนไขที่จูงใจศูนย์การเรียนเอ็นจีโอมากที่สุด คือ การเปิดโอกาสให้พัฒนาเป็นโรงเรียนเอกชนได้ นั่นหมายความว่า เด็กที่จบออกไปจะได้วุฒิการศึกษาภายใต้การรับรองของกระทรวงศึกษาธิการ มีประโยชน์เมื่อเด็กเรียนต่อในประเทศไทยหรือประเทศที่สาม รวมทั้งนำไปใช้หางานทำ ปัจจุบันวุฒิรับรองการศึกษาที่ออกโดยศูนย์การเรียนนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับเท่าใดนัก

 ว่ากันว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ มีเป้าหมายนำเด็กต่างด้าวที่ยังเร่ร่อนเข้ามาเรียนในโรงเรียนของรัฐให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่ได้จะไปแย่งเด็กที่เรียนอยู่กับศูนย์ แต่ใช้วิธีร่วมมือกัน เพื่อให้ศูนย์จัดการศึกษาตามที่เราต้องการ ซึ่งมีหลากหลายวิธี เช่น School within school อย่างเช่น กรณีโรงเรียนท่าอาด จ.ตาก เป็นโรงเรียนที่ร่วมจัดการศึกษากับศูนย์การเรียน 5 แห่งขององค์กรเอกชน โดยรับเด็กของจากศูนย์ทั้ง 5 แห่ง มาเรียนวิชาภาษาไทย และวิชาคณิตศาสตร์ ที่โรงเรียนท่าอาด

 ด้าน Pawray Rattanachairruedi จาก Burmese Nigrant Worker’s Education Committee (BMWEC) องค์กรเอกชนที่สนับสนุนศูนย์การเรียนจำนวน 37 แห่ง ใน จ.ตาก กล่าวว่า มีการสอนภาษาไทยอยู่บ้างตามศูนย์การเรียนของ BMWEC แต่เด็กยังอ่อน เพราะหาครูมาสอนไม่ค่อยได้

 อย่างไรก็ตาม Pawray ยืนยันว่า ศูนย์การเรียนเต็มใจเข้าระบบ เพราะต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยเช่นเดียวกัน ความช่วยเหลือที่ได้จากรัฐบาลอังกฤษ และรัฐบาลอเมริกา ไม่เพียงพอดูแลเด็กของศูนย์ 37 แห่ง ซึ่งมีเด็กรวมทั้งหมดประมาณ 8,000 คน ดังนั้นทุกๆ ปี ศูนย์การเรียนจะต้องขอให้ผู้ปกครองบริจาคเงินให้ประมาณ ปีละ 50 บาท ถ้าเป็นศูนย์ใหญ่บางแห่ง เก็บปีละ 500 บาท แต่ถ้าไม่มีก็ไม่บังคับ เพราะแรงงานพม่าได้ค่าแรงประมาณวันละ 80 บาท ถ้าไม่ได้งบสนับสนุนมากกว่านี้ ศูนย์อาจอยู่ไม่ได้

 "อยากให้มีการกำหนดให้ชัดเจนไปว่า ต้องการให้หลักสูตรของเด็กต่างด้าวนั้น สอนอะไร สอนกี่วิชา และเกณฑ์มีอะไรบ้างสำหรับพัฒนาศูนย์เป็นโรงเรียนเอกชน และต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยรับรองวุฒิของศูนย์ เพราะไม่ค่อยมีใครยอมรับเด็กที่จบจากศูนย์ อีกทั้งไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้" Pawray กล่าวทิ้งท้าย
 
 0 สุพินดา ณ มหาไชย 0 รายงาน
     0 สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 0 ภาพ