ไลฟ์สไตล์

 เหยี่ยว VS อีแร้ง

เหยี่ยว VS อีแร้ง

05 ธ.ค. 2552

เวลาพูดถึงเหยี่ยว เราจะนึกถึงพญานกอินทรีที่ซ่อนคมเขี้ยวไว้ เวลาที่เหยี่ยวหมายปองเหยื่อตัวไหนก็ยากที่เหยื่อตัวนั้นจะรอดเงื้อมมือของมันไปได้ พละกำลัง ความใหญ่ และคมเขี้ยวทำให้พญาอินทรี เป็น “นักล่า” ยากที่สัตว์ใดจะต่อกรได้ มันจึงเป็นสัตว์ที่ทรงอิทธิพล เป็นท

 แต่ถ้าถามหา “คุณค่า” และ ”คุณประโยชน์” เราคงต้องยกให้อีแร้งเป็นพระเอก และเหยี่ยวเป็นโจรในคาบผู้ดี ประการแรก อีแร้งไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ไม่เคยใช้เล็บตะปบให้สัตว์อื่นต้องสังเวยชีวิตเพื่อเป็นอาหารของตนเอง จึงถือได้ว่าเป็นสัตว์ที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ประการที่สอง อีแร้งนั้นทำให้โลกสะอาด มันลดตัวเองลงมาอยู่กับสิ่งเน่าเหม็นที่ตายแล้ว แถมยังกำจัดสิ่งเน่าเหม็น ไม่ปล่อยให้เป็นภาระของโลก อีแร้งจึงต่างกับเหยี่ยวที่นอกจากจะไม่ทำตัวเป็น “นักล่า” ที่คอยปลิดชีวิตผู้อื่นแล้ว ยังสร้างคุณประโยชน์โดยการเก็บกวาดขยะ ทำให้บ้านสะอาด มันจึงเป็นสัตว์ที่ “ต่ำต้อย” แค่ภายนอก แต่แฝงไว้ซึ่งคุณค่าภายในมากมาย

 มองดูความแตกต่างของเหยี่ยวและอีแร้ง แล้วกลับมามองดูสังคมโลก เราก็พบความไม่แตกต่างระหว่างประเทศที่ทำตัวเหมือนเหยี่ยว “ใหญ่” “รวย” แต่ก็ “คุกคาม” “ย่ำยี” กับประเทศที่ดูต่ำต้อย แต่ทรงคุณค่าเหมือนอีแร้ง นอกจากไม่คิดจะเบียดเบียนใครแล้ว ยังต้องทำหน้าที่ "เก็บกวาด" ขยะมากมายที่ผู้อื่นสร้างไว้ ในขณะที่สถานการณ์โลกกำลังวิกฤติ และโลกกำลังเรียกร้องต้องการ ความรับผิดชอบ และคุณธรรมแบบ “อีแร้ง” เรากลับพบเห็นหน้าฉากที่ดูสวยงาม แต่เบื้องหลังเป็นคนจิตใจไร้คุณธรรม พร้อม “ล่า” เอาชีวิตผู้อื่นสังเวยตนเองแบบ “เหยี่ยว” มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มักอ้างตนเองเป็นประเทศ “ศิวิไลซ์ และพัฒนา” แล้ว

 ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในยามนี้คือ การกว้านซื้อที่ดินของประเทศร่ำรวยในประเทศยากจน ในขณะที่ยูเอ็นออกมาประกาศเตือนเรื่องวิกฤติความมั่นคงทางอาหารที่จะทวีความรุนแรงขึ้น และกล่าวว่า ผู้คนในประเทศโลกที่สามที่ยังยากจนโดยเฉพาะประเทศแถบแอฟริกาและเอเชีย จะได้รับผลกระทบมากกว่าใคร ประชาชนหลายพันล้านคนจะพากันอดตายเพราะอาหารไม่พอ อันเนื่องมาจากผลิตผลทางเกษตรที่ต่ำลง ซึ่งมีผลมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและสภาพดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

 ในขณะที่ประเทศร่ำรวย เช่น ยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง หาทางออกมิใช่ด้วยการพึ่งพิงทรัพยากรภายในประเทศตน แต่คุกคาม ย่ำยี ทรัพยากรของประเทศอื่นด้วยการระดมกว้านซื้อที่ดินมากกว่าหลายร้อยล้านไร่ ในระยะเวลาไม่ถึงปีเพียงเพื่อให้ประชากรของประเทศตนมีอาหารกิน และสามารถทำเงินจากอาหารที่คาดว่าจะแพงขึ้น ส่วนใหญ่การได้มาของที่ดินนั้นก็ด้วยการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมายและอำนาจรัฐท้องถิ่นที่อ่อนแอ โดยไม่คำนึงว่าจะถูกต้องชอบธรรมหรือไม่

 Oxfam องค์กรภาคประชาชนที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกออกมาประกาศว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคการ “ล่าอาณานิคม” เต็มรูปแบบอีกครั้งหนึ่งที่ประเทศร่ำรวยกระทำต่อประเทศยากจน ในครั้งนี้มี “เงิน” และ “อิทธิพล” เข้ามาแทนที่ “กระสุน” และ “ดาบปลายปืน” แม้ในปี 2007 ที่โลกเพิ่งจะเริ่มวิตกกังวลกับปัญหา “โลกร้อน” ก็มีรายงานแล้วว่าในปีนั้นขณะที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าและผู้คนในประเทศที่พัฒนาแล้วกินดีอยู่ดี มีอายุยืนเฉลี่ยถึง 78 ปี คนประมาณ 800 ล้านคนในอีกซีกโลกหนึ่งกำลังหิวโหย คน 2,000 ล้านคนกำลังป่วยด้วยโรคอันเนื่องมาจากทุโภชนาการ และเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบประมาณ 10 ล้านคนต่อปีต้องเสียชีวิตจากโภชนาการที่ไม่ถูกต้อง

 มาในปี 2009 สภาพการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เราไม่อาจคาดหวังได้ว่าโลกที่เรากำลังเดินต่อไปนี้จะมีอะไรดีขึ้น เพราะนิสัย “เหยี่ยว” ที่เป็น “นักล่า” ก็ยังคงเป็น “นักล่า” วันยังค่ำ คงต้องรอให้ “อีแร้ง” และสัตว์เล็กสัตว์น้อยตายกันหมด เมื่อนั้น เหยี่ยว ก็จะหันมาล่าเหยี่ยวกันเอง

"อาจารย์ยักษ์ มหาลัยคอกหมู"