Lifestyle

ผู้เชี่ยวชาญHR ห่วงปัญหาทรัพยากรมนุษย์ในยุคดิจิทัล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผู้เชี่ยวชาญHR ห่วงปัญหาทรัพยากรมนุษย์ในยุคดิจิทัล

              ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เตือนผู้บริหาร และเจ้าของธุรกิจต้องรีบปรับตัว เตรียมพร้อมรับมือให้ทันกับปัญหาต้นทุนมนุษย์ ในยุคที่แพลตฟอร์มทางดิจิทัลเข้าแทรกแซง สิ่งต่างๆ บนโลกกำลังถูกเปลี่ยนแปลงรูปแบบ วิธีการ จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องทรัพยากรมนุษย์ Gen Z กับปัญหาการลาออกจากการทำงาน ที่ในอนาคตมีแนวโน้มจะสูงยิ่งขึ้นหลายเท่าตัว

              ข้อมูลจากเว็บไซต์รับสมัครงานชื่อดัง พบว่า Gen Z เป็นกลุ่มคนที่มีแผนจะเปลี่ยนงานภายในระยะเวลาอันใกล้มากที่สุดคือ 1-3 เดือน คิดเป็น 31.82% ในขณะที่คนทำงาน Gen X และ Gen Y มีทิศทางเหมือนกันคือมีแผนจะเปลี่ยนงานแต่ยังไม่มีกำหนดชัดเจน

ผู้เชี่ยวชาญHR ห่วงปัญหาทรัพยากรมนุษย์ในยุคดิจิทัล   ดร.ธิติมา ไชยมงคล

   

 

          ดร.ธิติมา ไชยมงคล นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในทุกมิติ และผู้ก่อตั้งบริษัท RESEARCHER THAILAND กล่าวว่า ด้วยลักษณะนิสัยของคน Gen Z เกิดและเติบโตในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู มีนิสัยที่ชอบเก็บเงิน สนใจในการลงทุน ชอบที่จะเรียนรู้จากการลงมือทำด้วยตัวเอง และคน Gen Z หนึ่งคนจะทำหน้าที่ที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งมีความมั่นใจในความคิดตัวเองสูงและกล้าที่จะแสดงออก มีคำถามที่ต้องการการอธิบายถึงเหตุผล และหลักการ

               สอดคล้องกับมุมมอง ด้านทรัพยากรมนุษย์ในยุค 4.0 ของผู้เชี่ยวชาญทรัพยากรมนุษย์ว่า “ตอนนี้ปัญหา คือ คนทำงานยุค Gen Z มีการเปลี่ยนงานในระยะเวลาอันใกล้มาก มีการย้ายงานสูง โดยตามปกติแล้ว อัตราการลาออกขององค์กรและบริษัทต่างๆ ในเมืองไทยจะอยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ระยะหลัง ที่ Gen Z ก้าวเข้าสู่วัยทำงานอย่างแท้จริง ทำให้ตัวเลขเหล่านี้กระโดดไปอยู่ที่ 12-15 เปอร์เซ็นต์ เพราะเด็ก Gen Z เขาต่อมาในยุคมิลเลนเนียล อยู่ในยุคของดิจิทัลและไอที เกิดจากปัจจัย อันได้แก่ ความต้องการรายได้ที่สูงขึ้น ไม่พอใจกับสวัสดิการ ต้องการความก้าวหน้าในสายงาน และคาดหวังที่จะได้ทำงานตรงตามทักษะและความสนใจ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นปัญหาในระดับประเทศ โดยเฉพาะกับธุรกิจ SME”

              ดร.ธิติมา ยังได้เล่าถึงประสบการณ์แก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรบุคคลให้กับองค์กรหรือบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมไขปัญหาด้านทรัพยากรมนุษย์ว่า “ขอยกตัวอย่างบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งมีอัตราการลาออกที่สูงขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 10-12 เปอร์เซ็นต์ แต่อยู่ดีๆ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ก็ขยับขึ้นไปถึง 15-20 เปอร์เซ็นต์ ทางบริษัทแม่ในประเทศญี่ปุ่น ก็เริ่มรู้สึกว่า นี่เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน และต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรมนุษย์เข้ามาดูแลและตรวจสอบอย่างใกล้ชิด

          "สิ่งแรกที่เราทำ คือ ดิฉันเข้าไปพูดคุย พร้อมประชุมกับบุคลากรในองค์กร เพื่อเป็นการวิเคราะห์บริบทของปัญหาเบื้องต้นก่อน จากนั้นก็ไปสัมภาษณ์พนักงานที่ลาออกจากบริษัทไปภายในระยะเวลาไม่เกินสามเดือน รวมถึงสัมภาษณ์พนักงานที่เข้าๆ ออกๆ พอได้รับทราบสาเหตุของการออกแล้ว ก็นำเอาข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อตั้งคำถาม เพื่อนำไปสู่การหาคำตอบ"

          เธอเผยต่อว่าจากนั้นก็ลงลึกในการสัมภาษณ์หาข้อมูล โดยเราให้แนวทางกับทางบริษัทไปว่า เราต้องการแบ่งพนักงานออกเป็นกลุ่ม ไล่เรียงตามระยะเวลาการทำงานในบริษัท เริ่มตั้งแต่ 1-3 ปี 4-6 ปี 7-10 ปี 10-12 ปี และ 12 ปี ขึ้นไป กลุ่มละสามคน รวมจำนวนทั้งสิ้น 15 คน เพื่อมาพูดคุยกันทีละคน ซึ่งดิฉันก็ได้คำตอบทั้งหมดภายในระยะเวลา 2 อาทิตย์เท่านั้น กระบวนการต่อไปก็คือ นำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาทำรายงานสรุปเพื่อตอบคำถามที่เราตั้งไว้

             ทั้งนี้ก็เป็นไปตามกระบวนการทางการวิจัย โดยนำเสนอเป็นลักษณะของอินโฟกราฟิก เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ โดยทางบริษัทแห่งนี้ ก็สามารถนำผลการศึกษาวางแผนในการแก้ปัญหาต่อไป ซึ่งดิฉันก็ทำหน้าที่มอนิเตอร์ในฐานะที่ปรึกษาและเป็นพาร์ทเนอร์ต่อไปด้วย คำแนะนำง่ายๆ เบื้องต้น สำหรับการแก้ปัญหาทรัพยากรบุคคลในองค์กรนั่นคือ ทุกคนต้องยอมรับความเป็นมนุษย์ของกันและกันให้ได้ก่อน เห็นคุณค่ากัน  เปิดใจยอมรับฟังและเคารพซึ่งกันและกัน จากนั้นค่อยนำเรื่องเทคโนโลยี และระบบมาเติมเต็มช่องว่างต่างๆ ”

              “สิ่งที่ผู้ประกอบการหรือองค์กรควรรู้เพื่อเตรียมรับมือกับคน Gen Z นั้นมีหลายปัจจัย ต้องสร้างคุณค่าในการทำงาน อาจเป็นได้ทั้ง การเลื่อนต่ำแหน่ง หรือการเพิ่มเงินเดือน การให้โบนัสที่เป็นเงินเพื่อช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน ต้องมีการพูดคุย หรือยินดีที่จะรับฟังผลตอบรับจากการทำงานมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ และต้องมีการพูดคุยแบบต่อหน้าหรือการประชุมเป็นทีมมากว่าการพูดคุยผ่านอีเมล์ และนอกจากนี้ผู้ประกอบการหรือองค์กรควรมีการปรับเรื่องของไลฟสไตล์รูปแบบการทำงาน อย่างเช่น จากต้องเข้ามาตอกบัตร ก็เปลี่ยนเป็นตอกบัตรออนไลน์ เพราะเขาสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ซึ่งในต่างประเทศก็เริ่มทำกันแล้ว และในบางประเทศก็มีวันหยุดกลางสัปดาห์ทุกวันพุธอีกด้วย รวมถึงผู้บริหารหรือหัวหน้างานก็ต้องรับฟังความคิดของพนักงาน หรือให้ในสิ่งที่พนักงานร้องขอเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ”  ดร. ธิติมา กล่าว

  

           และนี่คือสิ่งที่ทั้งผู้นำองค์กร ผู้บริหารภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจต่าง ๆ ต้องปรับตัวให้ทันตามกระแสโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการถูกแทรกแซงโดยเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาใหม่ เตรียมพร้อมรับมือให้ทันกับปัญหาต้นทุนมนุษย์ ที่เป็นทรัพยากรมีคุณค่า เพราะคนถือเป็นแรงงานหลักที่ช่วยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนเติบโตก้าวหน้าต่อไปในอนาคต 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ