ไลฟ์สไตล์

กสม.ค้านยุบ ควบรวม รร.ขนาดเล็ก กระทบสิทธิเด็ก

กสม.ค้านยุบ ควบรวม รร.ขนาดเล็ก กระทบสิทธิเด็ก

02 ต.ค. 2562

กสม. ห่วง ก.ศึกษาฯ เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายยุบ ควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ระบุกระทบเด็กพื้นที่ชนบทห่างไหล เพิ่มภาระผู้ปกครอง วอนใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย

 

 

นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะกำกับดูแลงานด้านสิทธิผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็ก การศึกษา และการสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ระบุว่า รมว.ศึกษาธิการได้กำชับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก (มีนักเรียนต่ำกว่า 300คน) ในปีงบประมาณ 2562-2565 โดยมอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจัดทำแผนบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนสิงหาคม 2562 เพื่อพิจารณาการควบรวมหรือปิดโรงเรียนขนาดเล็กตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนให้มีการจัดทำเครื่องมือระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic Information System - GIS) เพื่อสำรวจที่ตั้งของโรงเรียนขนาดเล็ก นั้น

 

ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชุดที่สอง ได้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการยุบ ควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ตามรายงานผลการตรวจสอบที่ 477-478/2557 โดยรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนักวิชาการด้านการศึกษา และมีมติว่า นโยบายการยุบ ควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กถือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการศึกษาของเด็กที่จะมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน โดยมีข้อเสนอมาตรการการแก้ไขปัญหา เช่น คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดการการศึกษา ต้องจัดการการศึกษาให้เป็นไปตาม รธน. 2550 (ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะตรวจสอบ) มาตรา 49 ที่บัญญัติว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย" ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child - CRC) ที่ระบุให้การกระทำของหน่วยงานรัฐจะต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นลำดับแรก เด็กจะต้องได้รับการศึกษาบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมและมีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาภาคบังคับที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องไม่มีเด็กที่เข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษา

 

          นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับนโยบายการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีกทั้งควรตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ชุมชน และภาคประชาสังคมในการจัดการศึกษาด้วย

 

นางฉัตรสุดา กล่าวอีกว่า เป้าหมายที่ 4 ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDGs) ที่รัฐบาลให้ความสำคัญนั้น คือ การเข้าถึงการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ซึ่งต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โอกาสที่เด็กที่อยู่ในชนบทห่างไกลสามารถที่จะเข้าถึงโรงเรียนที่อยู่ใกล้และมีคุณภาพ สอดคล้องกับวิถีชีวิตของท้องถิ่นและชุมชนด้วยนั้น จึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตนเห็นว่า การยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กที่ในชนบทที่ห่างไกลศูนย์กลาง โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านงบประมาณและมาตรฐานการศึกษาจากส่วนกลางเป็นสำคัญเท่านั้น

 

นอกจากจะเป็นการตัดโอกาสการเข้าถึงการศึกษาสำหรับเด็กที่อยู่ในชนบทห่างไกล หรือทำให้เกิดอุปสรรคในการเข้าถึง เช่น ความยากลำบากหรือความปลอดภัยในการเดินทางไปเรียนแล้ว ยังเป็นการเพิ่มภาระของผู้ปกครองที่มีรายได้น้อยที่อาจส่งผลให้เด็กต้องออกจากระบบการศึกษาด้วย ดังนั้น เจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพ มีมาตรฐาน และลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก ตลอดจนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนั้น ก็อาจไม่สามารถบรรลุผลได้จริง


"ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดารว่าต้องอยู่อย่างมีคุณภาพและมีปัจจัยที่เหมาะสม และการดำเนินนโยบายยุบ หรือควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก จะต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม เป็นรายกรณี สพฐ. ศธ. ควรคำนึงถึงสิทธิเด็กในการศึกษา ตาม รธน. ตลอดจนพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม และ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ. 2545 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่3) พ.ศ.2553 ที่ได้ให้ความคุ้มครองและรับรองไว้ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษา เพื่อให้เด็ก ผู้ปกครอง และบุคลากรทางการศึกษาได้มีทางออกและทางเลือกสำหรับบุตรหลานในการได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็กทุกคน" นางฉัตรสุดา กล่าว