
สักวันหนึ่ง...ชีวิตจะหาไม่ (5) ทุกข์ที่แท้
ในสมัยพุทธกาลมีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งงานกับบุตรเศรษฐี ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์ลูกคนแรก เธอหมายมั่นปั้นมือว่าจะเลี้ยงลูกคนนี้ให้ดีที่สุดเพราะเป็นลูกคนแรก ทั้งยังเป็นลูกชายอีกต่างหาก เธอรักลูกคนนี้ราวกับแก้วตาดวงใจ เตรียมเป็นแม่ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองท้อง แต่พอคลอดได้ไม
เรื่องนี้ทำให้อาตมานึกถึงเรื่องจริงเรื่องหนึ่งในเมืองไทยเรานี่เอง คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งสูญเสียพ่อแม่และลูกในเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิเมื่อหลายปีก่อน ตัวเองรอดเพราะว่านอนเล่นอยู่ในโรงแรม ส่วนครอบครัวลงไปเล่นน้ำแล้วจมหายไปด้วยกันทั้งหมด เมื่อเสียคนอันเป็นที่รักในครอบครัวไป เธอเสียใจมาก ผ่านไปครึ่งปียังทำใจไม่ได้ ย่าพามาทำบุญกับอาตมา อาตมาถามว่าเป็นไงบ้าง เธอบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้นเป็นแค่ความฝัน เธอไม่มีทางยอมรับว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้น เมื่อไม่ยอมรับความจริงก็เหมือนไปต่ออายุให้ความทุกข์
อาตมาเลยบอกว่า โยม โยมจะหลอกตัวเองได้อีกสักกี่วัน ในเมื่อเขาได้ตายไปแล้ว ศพได้เผาไปแล้ว โยมจะหลอกตัวเองเพื่ออะไร เขาก็บอกว่า โยมรับไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเตรียมใจมาก่อน อาตมาก็เลยถามว่า สมมติว่าถ้าพ่อแม่และลูกของโยมบอกว่าจะตายแล้วนะ ให้โยมเตรียมใจนะ โยมจะยอมไหม ก็ไม่ยอม เห็นไหมว่าต่อให้คนอันเป็นที่รักตายโดยที่เรารู้ล่วงหน้า ก็เป็นการยากที่จะยอมรับว่ามันเป็นธรรมดา
เช่นเดียวกันกับผู้หญิงในสมัยพุทธกาลคนนั้น ที่ได้สูญเสียลูกไปแล้วก็รับไม่ได้ เธอจมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์หนัก จนในที่สุดก็เลยวิกลจริต อุ้มศพลูกน้อยไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยความเชื่อว่าจะต้องมียาวิเศษที่ช่วยชุบชีวิตลูกของตัวเองให้ฟื้นขึ้นมาให้ได้ อยู่มาวันหนึ่งมีคนมาพบเธอแล้วเกิดความสงสารจึงพาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอไปอยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้า เธอก็ถามพระพุทธเจ้าว่า เขาลือกันว่าพระองค์เป็นสัมมาสัมพุทธะ พระองค์คงจะมีความวิเศษใช่ไหม
พระพุทธเจ้าตรัสตอบ “มีสิ น้องหญิง”
“พระองค์สามารถชุบชีวิตลูกของดิฉันให้ฟื้นคืนชีวิตได้ไหม”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราทำได้ พอได้ยินว่าทรงสามารถชุบชีวิตลูกของเธอได้เท่านั้นแหละ ยิ้มแรกจากริมฝีปากของเธอก็ผุดพรายขึ้นมาทันที
“แล้วดิฉันจะต้องทำอย่างไร”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขอให้น้องหญิงไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตายมา แล้วอาตมาจะนำมาปรุงเป็นตัวยาเพื่อชุบชีวิตลูกของเธอให้ฟื้นขึ้นมาเอง
ผู้หญิงคนนี้ดีอกดีใจอย่างเหลือล้น รีบอุ้มลูกออกจากวัดไป มุ่งหน้าเข้าสู่บ้านนั้น ไปบ้านนี้ ทุกหลังคาเรือนที่เธอไปเยี่ยมเยือนเธอจะถามว่า ขอโทษนะคะ มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดไหมคะ แต่ละหลังล้วนตอบว่า มีสิ
แต่พอเธอถามประโยคต่อมาว่า แล้วบ้านหลังนี้เคยมีคนตายไหม บ้านไหนที่ตอบว่าเคยมีคนตาย แสดงว่าไม่เข้าเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ ปรากฏว่าบ้านเรือนกว่า 20-30 หลังที่เธอไปถามหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด ทุกๆ บ้านล้วนแล้วแต่มีเมล็ดพันธุ์ผักกาด แต่พอถามต่อไปว่าเคยมีคนตายที่บ้านหลังนี้ไหม เจ้าของบ้านทั้งหมดล้วนแต่บอกว่าเคยมีคนตายมาแล้วทั้งนั้น
การที่เธอเดินสอบถามไปทีละหลังคาเรือนๆ ภาษาพระเรียกว่าเป็นการเรียนธรรมะโดยวิธีธรรมชาติ ถ้าภาษานักจิตวิทยาเรียกว่า เป็นเทคนิคการสอนโดยวิธี leaning by leaning คือ ให้ผู้เรียนศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถ้าภาษานักวิจัยเขาก็เรียกว่า เป็นการวิจัยภาคสนาม นี่คือการสอนธรรมะโดยที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องลงมือสอนด้วยพระองค์เอง เป็นการสอนโดยอ้อมของพระองค์ แต่เป็นประสบการณ์ตรงของผู้มาเรียน
หญิงคนนี้ไปขึ้นบ้านไหนก็ได้ยินแต่บ้านนี้มีเมล็ดพันธุ์ผักกาด แต่แล้วก็ได้ยินคำต่อมาว่า บ้านนี้เคยมีคนตายมาแล้วทั้งนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ได้เรียนรู้สัจธรรมทีละนิดๆ กรอกหูไปเรื่อยๆ ในที่สุดเกิดปัญญาขึ้นมาว่า ไม่มีบ้านหลังไหนเลยที่ไม่มีคนตาย ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดานี่นา โอ...แล้วเราจะมานั่งเสียใจอยู่ทำไม เขาตายกันทั้งบ้านทั้งเมือง
พอคิดขึ้นมาได้อย่างนี้ เธอเลยกลับวัดไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า น้องหญิงได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดไหม เธอตอบว่าไม่ได้เจ้าค่ะ แต่ละบ้านล้วนมีเมล็ดพันธุ์ผักกาด แต่บ้านที่ไม่มีคนตายไม่มีเลยเจ้าค่ะ พระพุทธเจ้าเลยตรัสถามต่อว่า แล้วลูกของน้องหญิงไปไหน เธอตอบว่าโยนทิ้งอยู่ที่ป่าช้าแล้วเจ้าค่ะ เป็นอันว่าเธอบรรลุธรรมเรียบร้อยแล้ว โดยที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องเทศน์
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เรียนธรรมะมาก่อนเลย พระพุทธเจ้าทรงวางกุศโลบายให้เธอรู้ได้ด้วยตัวเอง กว่าเธอจะรู้เธอต้องขึ้นบ้านหลังนั้นลงบ้านหลังนี้ ถามผู้คนครั้งแล้วครั้งเล่าถึงจะเกิดการเรียนรู้
"ว.วชิรเมธี"