ไลฟ์สไตล์

ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กับราคา 'ค่า(ไม่)คุ้มครอง'

ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กับราคา 'ค่า(ไม่)คุ้มครอง'

05 ส.ค. 2562

คอลัมน์ "อินโนสเปซ" โดย "บัซซี่บล็อก" หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

 

ในปีปัจจุบัน (พ.ศ. 2562) จากข้อมูลที่จัดทำโดย Hootsuite และ We Are Social เปิดเผยว่า มีประชากรทั่วโลกมากกว่า 4.39 พันล้านคน ท่องไปในโลกออนไลน์ ขณะที่กลุ่มที่เป็นชาวโซเชียลก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 3.48 พันล้านคน

 

ตัวเลขนี้ทำให้องค์กรรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านกำกับดูแลความปลอดภัยและคุ้มครองประชาชนในหลายประเทศทั่วโลก จำเป็นต้อง ‘ออกแบบ’ กฎหมายใหม่ที่ก้าวทันโลกออนไลน์และเครือข่ายโซเชียล

 

ซึ่งส่วนหนึ่งของกฎหมายเหล่านี้ ก็คือการกำกับดูแลด้วยมาตรการที่เป็นสากล เพื่อให้แน่ใจได้ว่า ‘ภาคธุรกิจ’ หรือเจ้าของแพลตฟอร์มสื่อโซเชียลต่างๆ ที่ได้รับประโยชน์มหาศาลจากผู้บริโภคยุคโซเชียล จะให้ความคุ้มครองดูแลรักษาข้อมูลส่วนตัวลูกค้าไม่ให้ ‘รั่วไหล’ หรือถูกนำไป ‘ใช้’ โดยที่เจ้าของข้อมูล ‘ไม่รู้ตัว’

 

 

ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กับราคา 'ค่า(ไม่)คุ้มครอง'

 

 

หนึ่งในกฎหมายที่พูดถึงข้างต้น และเรียกได้ว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนไปแล้วทั่วโลก ก็คือ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป หรือ GDPR (General Data Protection Regulation) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 .. 2561 กำหนดหลักเกณฑ์ให้ทุกผู้ประกอบการต้องเก็บรวบรวมหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่มีสัญชาติหรือที่มีถิ่นพำนักในสหภาพยุโรปให้ได้ตามมาตรฐาน

 

มิฉะนั้นแล้วจะถูกดำเนินคดีที่มีเพดานค่าปรับสูงถึง 20 ล้านยูโร หรือ 4% ของรายได้รวมทั้งปีของธุรกิจ แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะมากกว่า

 

ปัจจัยข้อสำคัญที่กฎหมายฉบับนี้ ‘สะเทือน’ ทั้งโลก เนื่องจากขอบเขตการบังคับใช้นั้นครอบคลุมไปถึงผู้ประกอบการธุรกิจรายใดๆ ก็ตามในทุกประเทศทั่วโลก ที่มีการติดต่อทำธุรกรรมและต้องจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานส่วนตัวของลูกค้าในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย GDPR ด้วย

 

 

ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กับราคา 'ค่า(ไม่)คุ้มครอง'

 

 

เฟซบุ๊ก-บริติชแอร์ฯ-แมริออท ควงแขนจ่ายค่าปรับโหด

 

เดือนกรกฎาคม 2562 ดูเหมือนจะเป็นเดือนแห่งการ ‘ลงดาบ’ บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ที่พลาดท่าทำ ‘ข้อมูล(ลูกค้า)หลุด’ โดยข้อมูลจาก http://www.enforcementtracker.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการสำหรับอัพเดทข้อมูลการลงโทษและจำนวนค่าปรับของผู้ที่ถูกตัดสินแล้วว่าละเมิดกฎหมาย GDPR เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการตัดสินกรณีที่ละเมิดและค่าปรับแล้ว 66 ราย วงเงินค่าปรับมีตั้งแต่หลักร้อยยูโร ไปจนสูงหลักร้อยล้านยูโร

 

 

ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กับราคา 'ค่า(ไม่)คุ้มครอง'

 

 

โดยเฉพาะเมื่อเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งสิ้นสุดไป ในวันที่ 7 ได้มีการประกาศลงโทษสายการบิน British Airways ที่ถูกสั่งปรับ 204.6 ล้านยูโร จากการถูกเจาะระบบข้อมูลเมื่อเดือนกันยายน 2561 โดยมีข้อมูลลูกค้าที่ถูกขโมยไปได้กว่า 500,000 คน เหตุเกิดจากระบบความมั่นคงปลอดภัยที่หละหลวมของบริษัท

 

และในวันถัดมา เครือโรงแรมชั้นนำระดับโลก Marriott International ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรม รวมทั้ง W, Westin, Le Meridien และ Sheraton ถูกปรับ 110.39 ล้านยูโร

 

เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงรายละเอียดบัตรเครดิต หมายเลขพาสปอร์ต และวันเดือนปีเกิดของลูกค้ากว่า 339 ล้านคนถูกขโมย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นชาวอังกฤษ 7 ล้านคน และมีที่เกี่ยวข้องกับประชากรอื่นในสหภาพยุโรปด้วย

 

 

ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กับราคา 'ค่า(ไม่)คุ้มครอง'

 

 

ขณะที่ มีรายงานข่าวกล่าวว่า ปัจจุบันยักษ์โซเชียลเบอร์หนึ่งของโลกอย่าง เฟซบุ๊ก ก็กำลังอยู่ในกระบวนการสอบสวนการละเมิดกฎหมาย GDPR ถึง 19 กรณี โดยในจำนวนนั้น 11 กรณีมุ่งเป้าเฟซบุ๊กโดยตรง และที่เหลือกระจายกันในเครือข่ายธุรกิจใต้ร่มเงาเฟซบุ๊ก

 

อย่างเช่น อินสตาแกรม, WhatsApp เป็นต้น และแม้ปัจจุบันการสอบสวนในส่วนนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่เฟซบุ๊ก ก็มีความเคลื่อนไหว และตัดสินใจยอมจ่ายค่าปรับในบ้านของตัวเองที่สหรัฐอเมริกาแล้ว

 

 

เฟซบุ๊ก’ สร้างสถิติโลก ‘ค่าปรับ’

 

เฟซบุ๊กศูนย์การเรียนรู้ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Knowledge Center: DPKC) ได้นำเสนอข่าว “เฟซบุ๊ก กับบทลงโทษสูงสุดเป็นประวัติการณ์โลก ภายใต้กฎหมาย Privacy” ว่าในที่สุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (Federal Trade Commission : FTC) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ แถลงข่าวการลงโทษเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการว่า

 

บริษัท เฟซบุ๊ก จะจ่ายค่าปรับ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากข้อหาการละเมิดระเบียบของ FTC (2012 FTC order) ในเรื่องการหลอกลวงผู้ใช้เกี่ยวกับความสามารถในการควบคุมความเป็นส่วนตัวในข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขา

 

โทษปรับนี้นับว่าสูงที่สุดในโลก หรือเกือบ 20 เท่าที่เคยได้ปรับกับบริษัทใดๆ ในเรื่องการละเมิดส่วนตัวผู้บริโภค และเป็นบทลงโทษที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยประเมินโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับการละเมิดใด ๆ

 

 

ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กับราคา 'ค่า(ไม่)คุ้มครอง'

 

 

ขณะเดียวกัน FTC ยังมีคำสั่งอื่นๆ เช่น ให้เฟซบุ๊กปรับโครงสร้างที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นส่วนตัว โดยให้จัดตั้งคณะกรรมการดูแลความเป็นส่วนตัวที่มีความเป็นอิสระจากบอร์ดของเฟซบุ๊ก, ขจัดอำนาจตัดสินใจของ ‘มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก’ ซีอีโอเฟซบุ๊ก ในเรื่องที่จะส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน และตัวคณะกรรมการชุดใหม่นี้จะถูกปลดได้จากเสียงส่วนใหญ่ของบอร์ดเท่านั้น เป็นต้น

 

อีกทั้ง ยังมีข้อกำหนด เช่น ห้ามให้ใช้เบอร์โทร.ที่ได้รับ เพื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์ด้านความมั่นคงปลอดภัย (เช่น ยืนยันตัวตนสองขั้นตอน) ไปใช้สำหรับการโฆษณา, ต้องแจ้งอย่างชัดเจนถึงการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าและขอความยินยอมจากผู้ใช้ก่อนการใช้งาน, ห้ามขออีเมล์ที่ผู้ใช้สมัครกับบริการอื่น ๆ เป็นต้น

 

 

กูเกิล ก็ไม่รอดมือ GDPR

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทระดับโลกรายแรกที่ถูกลงดาบจากกฎหมาย GDPR ด้วยค่าปรับทะลุหลักล้านไปเป็นรายแรก ก็คือ กูเกิล โดยเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2562 นี้ Commission Nationale de l'Informatique et des Libertés (CNIL) หน่วยงานด้านการคุ้มครองข้อมูลของฝรั่งเศส สั่งปรับกูเกิลเป็นเงิน 50 ล้านยูโร เนื่องจากทำผิดกฎ GDPR ใน 2 เรื่อง ได้แก่

 

ข้อหาแรกคือ เรื่องความโปร่งใสในการนำข้อมูลไปใช้งาน ซึ่ง GDPR กำหนดให้บริษัทต้องประกาศให้ผู้ใช้ทราบว่าจะนำข้อมูลไปจัดเก็บและประมวลผลอย่างไรบ้างเพื่อแสดงโฆษณาให้ตรงตามผู้ใช้แต่ละคน แต่ประกาศของกูเกิลกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ทำให้ค้นหาได้ยากและมีขั้นตอนซับซ้อน

 

 

ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กับราคา 'ค่า(ไม่)คุ้มครอง'

 

 

ข้อหาที่สองคือ กระบวนการขอคำยินยอมจากผู้ใช้งาน ‘ไม่ชัดเจน’ เพราะแม้กูเกิลขอคำยินยอมจากผู้ใช้เพื่อนำข้อมูลไปใช้แสดงผลโฆษณา แต่คำขอนั้นไม่ได้ระบุชัดเจนว่าขอข้อมูลไปใช้กับบริการใดบ้าง และการยินยอมให้ข้อมูลต่อกูเกิลเป็นการให้ข้อมูลทั้งหมดกับบริการทุกตัว

 

 

แล้วธุรกิจไทยต้องเตรียมรับมืออย่างไร

 

สำหรับประเทศไทยสามารถฝ่าแรงต้านจน “พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” ผ่านเมื่อช่วงต้นปีนี้ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ด้วยความตระหนักจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องถึงความสำคัญที่ประเทศไทย ‘จำเป็น’ ต้องมีกฎหมายด้านนี้ที่เทียบชั้นมาตรฐานสากล ซึ่งกระบวนการจากนี้จะต้องมีการจัดทำกฎหมายลูกออกมารองรับอีกนับสิบๆ ฉบับให้ครอบคลุมทุกธุรกิจ/บริการที่จำเป็นต้องมีการร้องขอ หรือจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการหรือทำธุรกรรม ดังนั้น จึงมีการให้ระยะผ่อนผันเป็นเวลา 1 ปี

 

ขณะที่ เมื่อไม่นานนี้ เว็บไซต์ Ad Addict ได้ทำการสรุป 5 ประเด็นสำคัญจาก พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ทุกธุรกิจต้องเตรียมรับมือ จากเวทีสัมมนา พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 โดย สมาคมโฆษณาดิจิตอล (ประเทศไทย)

 

 

ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กับราคา 'ค่า(ไม่)คุ้มครอง'

 

 

โดยได้สรุปเป็น 5 ประเด็นสำคัญจากพ.ร.บ.ตัวนี้ให้ทุกธุรกิจเตรียมรับมือ ดังนี้ 1. ข้อมูลส่วนบุคคลคือข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนได้ในทางตรงหรือทางอ้อม ก็คือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเราที่สามารถนำว่าระบุถึงตัวเราได้ในทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน กรุ๊ปเลือด E-mail เบอร์โทรศัพท์ สีที่ชอบและอื่นๆทั้งหมดนี้ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลทั้งสิ้น

 

2. ต่อไปในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลต้องได้ตามมาตรฐานที่ พ...กำหนด พ.ร.บ.จะเน้นไปที่การสร้างมาตรฐานให้กับนิติบุคคล องค์กรต่างๆ มหาวิทยาลัย ในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไปจนถึงการนำไปใช้ จะต้องได้รับคำยินยอมจากเจ้าของข้อมูล รวมไปถึงการจัดเก็บข้อมูลจะต้องปลอดภัย ได้มาตรฐานไม่ให้ข้อมูลหลุดออกมา

 

3. ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีอยู่ หรือเก็บมาก่อนหน้านี้ต้องเช็คว่าได้มาอย่างไร ถูกต้องไหม ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท ร้านค้า หรืองค์กรต่างๆ เก็บมาก่อนที่จะมีพ.ร.บ.ตัวนี้ก็จะต้องกลับไปดูกันว่าข้อมูลที่ได้มาได้มาอย่างถูกต้องไหม ตรงตามข้อกำหนดไหม ในส่วนตรงนี้อาจไม่ต้องถึงขั้นย้อนกลับไปขออนุญาตเจ้าของข้อมูลทุกคน แต่ต้องมีช่องทางให้เจ้าของข้อมูลนั้นยกเลิกหรือเอาข้อมูลของตัวเองออกจากระบบ ถ้าจะใช้ข้อมูลตรงนี้ ก็อาจต้องมีการขออนุญาต

 

4. เป็นประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ไม่ว่าจะในทางธุรกิจหรือการทำงาน กฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่หลายๆ ประเทศก็เริ่มมีกการบังคับใช้ออกมาแล้วเช่นกัน จริงๆ พ.ร.บ.ของไทยเราตัวนี้ก็อิงกับ GDPR หรือ General Data Protection Regulation ของสหภาพยุโรป ซึ่งมีข้อห้ามไม่ให้มีการแลกเปลี่ยน หรือซื้อขายข้อมูลกับประเทศที่ไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น เมื่อประเทศไทยมีกฎหมายตรงนี้ก็เปิดโอกาสในการทำธุรกิจ กับต่างประเทศมากขึ้น อีกทั้งสร้างให้เกิดอาชีพใหม่คือ DPO หรือ Data Protection Officer ที่จะมาทำหน้าที่ดูแลและตรวจเช็คให้เป็นไปตามกฎหมาย

 

5. มีเวลาเตรียมตัวอีก 2-3 ปี ก่อนจะมีผลบังคับใช้ เนื่องจากต้องรอการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลก่อน ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะทำหน้าที่ออกประกาศ ออกข้อกำหนดและแนวปฏิบัติซึ่งจะเป็นมาตรฐานที่เราทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม

 

******************//*******************