เติบโตทะลุ 200% VS ตัวเลข 2.7%
ปรากฎการณ์ความเฟื่องฟูของการขยายตัวในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ สวนทางกันอย่างชัดเจนกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอยู่ในระดับตัวเลขหลักเดียวมาต่อเนื่องยาวนาน
โดยเฉพาะจากการแถลงตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกเมื่อไม่กี่วันของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ในรายงานที่ชื่อว่า 2019Global Economic Prospects: Heightened Tensions, Subdued Investment ซึ่งระบุว่าปีนี้การเติบโตน่าจะต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ตัวเลข 2.6% ส่วนปี 2563 ก็น่าจะขยับขึ้นมาเล็กน้อยโดยอยู่ที่ 2.7%
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าแม้แต่ตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) ซึ่งเคยเป็นความหวังของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ก็คงไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือใครได้ในภาวะนี้ เพราะจากรายงานฉบับข้างต้นก็ยอมรับว่า ประเทศในกลุ่มตลาดที่กำลังเติบโตเหล่านั้น ก็อยู่ในภาวะประคับประคองตัวเลขทางเศรษฐกิจของตัวเองเช่นกัน เพื่อรักษาอัตราเติบโตให้อยู่คงที่
จากตัวเลขเปรียบเทียบข้างต้น จึงสร้างโจทย์ใหม่ที่น่าท้าทายโดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยว่า ถ้าอยากมีโอกาสเติบโตสู่อนาคต ก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องเกาะติดแนวโน้มด้านอี-คอมเมิร์ซ และเริ่มขยับจากการค้าขายผ่านหน้าร้าน หรือช่องทางออฟไลน์ ขึ้นมาอยู่บนออนไลน์
ใครเป็นใครในโลกการค้าแบบอี - คอมเมิร์ซ
ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกา ยังครองตำแหน่งเจ้าตลาดใหญ่สุดในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของโลก โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ readwrite บอกว่า ชาวมะกันทุก 51 ใน 100 คนพึงพอใจกับการซื้อสินค้า/บริการผ่านช่องทางออนไลน์ และ 96% ของประชากรชาวอเมริกันเคยมีประสบการณ์ซื้อสินค้าออนไลน์
สำหรับปัจจัยหนุนความนิยมการซื้อสินค้า/บริการรูปแบบนี้ ก็มาจากความแพร่หลายของการใช้มือถิอสมาร์ทโฟนนั่นเอง เพราะเป็นเครื่องช่วยอำนวยความสะดวกสบายในกิจกรรมนี้
ขณะที่ จากการจัดอันดับของเว็บไซต์ Easyship ในปีที่ผ่านมา พบว่า เมื่อปี 2560 เฉพาะในอเมริกาเหนือ มีตัวเลขมูลค่าการค้าปลีกผ่านช่องทางออนไลน์สูงถึง 432 พันล้านดอลลาร์สหร้ฐ และยังคงมีอัตราการขยายตัวเป็นเลข 2 หลัก
สำหรับตลาดอี - คอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ก็คือ ภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 5 ประเทศของสหภาพยุโรป ( อียู ) ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน และอังกฤษ
โดยมีข้อมูลจากเว็บไซต์ emarketer ระบุตัวเลขคาดการณ์มูลค่าค้าปลีกออนไลน์ในตลาดอี - คอมเมิร์ซทั้ง 5 ประเทศนี้รวมกันว่า ปีนี้น่าจะอยู่ที่ 325 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสูงกว่า 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญจากพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่นิยมซื้อสินค้าผ่านออนไลน์
ข้อมูลจากยูโรสแตท (Eurostat) รายงานผลสำรวจของปี 2561 ว่า 32% ของชาวอังกฤษนิยมซื้อสินค้าทางออนไลน์ ตามมาด้วยเยอรมัน 23% ฝรั่งเศส 17% สเปน 12% และอิตาลี 6%
ยุโรปจับมือไทยจัดเวทีหนุนอี - คอมเมิร์ซ
ล่าสุด สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ คณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป (The Mission of Thailand to the EU) ได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จัดสัมมนาหัวข้อ “Thailand-EU Seminar on E-Commerce and GDPR”
โดยสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ (EABC) ได้ระบุว่า จุดประสงค์การสัมมนาครั้งนี้ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับทิศทางการเติบโตของตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดยุโรป ซึ่งดำเนินยุทธศาสตร์ EU Digital Single Market Strategy ตลอดจนกฎระเบียบและกรอบกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
อาทิ คุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (General Data Protection Regulation หรือ GDPR) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจที่ต้องการเข้าสู่ตลาดยุโรป
ในงานนี้ยังมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหภาพยุโรป อาทิ คณะกรรมาธิการยุโรปด้านความยุติธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค (DG JUST) องค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization : WCO) และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและสังคม จากมหาวิทยาลัย Namur ประเทศเบลเยี่ยม
รวมถึงสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ มาให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความข้าใจเกี่ยวกับตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ความสำคัญของเวทีสัมมนานี้วัดได้อย่างชัดเจนจากรายชื่อผู้ร่วมเปิดงาน ได้แก่ เอกอัครราชทูต สหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์และหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ( ดีอี)