AI บก.ข่าวยุคโซเชียลครองโลก
พร้อมกันนี้ ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ “สื่อดั้งเดิม” อย่างสื่อสิ่งพิมพ์ว่า มีการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อ่านบนพื้นฐานของ “ชื่อเสียง” ที่สั่งสมจากการทำงานอย่างรอบคอบในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกชิ้นก่อนตีพิมพ์ ดังนั้น สื่อโซเชียล อาจสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งหาบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีศักยภาพเพียงพอ เข้ามาช่วยอ่านทบทวนความเที่ยงตรงของเนื้อหาก่อนนำโพสต์ขึ้นโซเชียล
ผลสำรวจของ ConsumerLab report ระบุว่า เสียงของผู้บริโภคทุก 2 ใน 3 ราย เห็นพ้องผู้ให้บริการโซเขียลมีเดีย ควรว่าจ้างพนักงานคอยตรวจสอบคอนเทนท์แบบแมนน่วล (ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโปรแกรมซอฟต์แวร์) ขณะที่ราว 40% คาดหวังว่าจะมีบรรณาธิการที่เป็น AI เข้ามาทำหน้าที่นี้ในอนาคต รายงานบับนี้ยังพบว่า มีไม่ถึง 1 ใน 5 ของผู้อ่านข่าวบนสื่อโซเชียลที่เชื่อถือข่าวที่ตัวเองอ่าน
ขณะที่ เมื่อกลางปี 2561 ก็มีรายงานของ Ericsson Mobility Report ระบุว่า การใช้สื่อโซเชียล สร้างปริมาณทราฟฟิกข้อมูลจากมือถือ คิดเป็นสัดส่วนมากกกว่า 10% และคาดว่าจะสูงขึ้นต่อเนื่องไปถึง 31% ในอีก 6 ปีข้างหน้า
จากจุดประสงค์ของการจัดทำรายงานฉบับนี้ ที่มุ่งสำรวจทัศนคติของผู้บริโภคต่อสื่อโซเชียล และการใช้งานสื่อโซเชียล ทำให้พบข้อมูลน่าสนใจว่า ผู้บริโภคยุคใหม่เริ่มวิตกถึงประเด็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือบนโซเชียลมีเดีย ผลลัพธ์นี้เกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เสพข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางหลัก ยกตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา กลุ่มตัวอย่าง 67% บอกว่ารับข่าวผ่านโซเชียล และ 45% บอกว่ารับข่าวผ่านเฟซบุ๊กเท่านั้น
ส่วนในสหภาพยุโรป ผู้บริโภค 13% เกาะติดข่าวการเมืองในภูมิภาคยุโรปผ่านโซเชียลมีเดีย และตัวเลขเพิ่มเป็น 16% สำหรับการติดตามข่าวในประเทศ ขณะที่ ผู้บริโภคสื่อในสวีเดน และเดนมาร์กถึง 30% ยอมรับว่า โซเชียลมีเดีย คือช่องทางหลักในการรับข้อมูลข่าวสาร
ทั้งนี้ กว่า 50% ของกลุ่มตัวอย่างในสหรัฐ และอังกฤษ ให้ข้อมูลว่า เคยอ่านข่าวบนโซเชียล และจากนั้นจึงทราบว่าเป็นข่าวปลอม ขณะที่เกือบ 1 ใน 4 ยอมรับว่าเคยแชร์บทความข่าวที่ต่อมาทราบว่าเป็นข่าวปลอม
แนวโน้มเหล่านี้ ทำให้เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากผู้บริโภคในหลายประเทศว่า บริษัทผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย ควรรับผิดชอบเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีข่าวปลอมแสดงบนแพลตฟอร์มของแต่ละราย อีกทั้งบางส่วนถึงขั้นแสดงความคิดเห็นว่า ผู้ให้บริการควรต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายสำหรับข่าวปลอมอีกด้วย
สถานการณ์ข่าว(ปลอม)ในเอเชีย
คำนิยามจาก PolitiFact ระบุไว้ว่า “ข่าวปลอม (fake news) คือ ข่าวที่สร้างขึ้นมาเพื่อชี้นำหรือครอบงำโดยทำให้ดูเหมือนเป็นข่าวจากสื่อที่มีความน่าเชื่อถือ และสามารถแพร่กระจายผ่านออนไลน์เข้าถึงกลุ่มผู้เสพข่าวในวงกว้างได้อย่างง่ายดาย จากนิยามนี้ สะท้อนชัดเจนว่า โซเชียลมีเดีย และแอพสนทนาต่างๆ กลายเป็น “เครื่องมือ” ชิ้นใหม่ที่เอื้อต่อการแพร่กระจายข่าวปลอมให้เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
ภูมิภาคอาเซียน กำลังถูกจับตามองว่าเป็นพื้นที่แห่งความเสี่ยงต่อการเผชิญข่าวปลอม เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคนี้นิยมเสพข่าวผ่านสื่อโซเชียลในสัดส่วนที่สูงมาก จึงเป็นความท้าทายของรัฐบาลในภูมิภาคนี้ที่จะต้องเร่งมาตรการรับมือความเสี่ยงของปัญหานี้ ท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านบทความน่าสนใจของเว็บไซต์ www.brandinside.asia เกี่ยวกับประเด็นนี้ ซึ่งระบุถึงถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เกี่ยวกับความจำเป็นในการออกกฎหมายสำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของข่าวปลอม โดยเน้นไปที่เว็บไซต์สื่อออนไลน์ต่างๆ ว่า ปัจจุบันชาวสิงคโปร์มีโอกาสที่จะได้รับข่าวปลอมเพิ่มมากขึ้น และเนื่องจากสังคมของสิงคโปร์มีหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา การที่มีข่าวปลอมอาจทำให้สังคมของสิงคโปร์เกิดปัญหาขึ้นมาได้ รวมทั้ง อ้างอิงจากผลสำรวจในประเทศสิงคโปร์ว่าประชาชน 8 ใน 10 คน ต่างมั่นใจว่าตัวเองสามารถที่จะทราบได้ว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ แต่เมื่อทำแบบทดสอบเรื่องข่าวปลอม พบว่า 9 ใน 10 คน ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข่าวไหนคือข่าวปลอม
นักวิจัยพบ “สูงวัย” มือแชร์ข่าวปลอม
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย NYU and Princeton เคยเผยแพร่ผลงานวิจัยผ่านวารสารScience Advances ระบุว่า จากการทำงานกับกลุ่มตัวอย่าง 3,500 คน ซึ่งจำนวนครึ่งหนึ่งของกลุ่มดังกล่าว อนุญาตให้ผู้วิจัยเข้าไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น และเห็นข้อมูลสาธารณะและโพสต์ต่างๆ บนโซเชียลได้ พบว่ามีอยู่ราว 8.5% ที่มีการแชร์ข่าวปลอม แต่เมื่อประเมินจากตัวชี้วัดของอายุพบว่า ยิ่งในกลุ่มผู้สูงวัย จะยิ่งมีการแชร์ข่าวปลอมมากกว่า
โดยกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมแชร์ข่าวปลอมถึง 11% เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 18-29 ปีที่มีสัดส่วนเพียง 3% ที่มีพฤติกรรมแขร์ข่าวปลอม และเมื่อเจาะลึกกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊ก พบว่ากลุ่มวัย 65 ปี จะมีความถี่ในการแชร์ข่าวปลอมมากกว่ากลุ่มอายุ 45-65 ปีถึง 2 เท่าตัว และมากกว่ากลุ่มคนในวัย 18-29 ปีถึงเกือบ 7 เท่าตัว