
สมเด็จพระเทพฯ ทรงเปิดอาคาร "สิริภักดีธรรม"
เอื้อต่อภารกิจเผยแผ่พระธรรมคำสอน-ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภิกษุสงฆ์-สามเณร-พุทธศาสนิกชน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดอาคารสิริภักดีธรรม เนื่องในโอกาสสมโภชพระอาราม 190 ปี วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยมี ฐาปน สิริวัฒนภักดี รองประธานกรรมการอำนวยการโครงการก่อสร้างอาคารศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรรมการมูลนิธิสิริวัฒนภักดี และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ปภัชญา สิริวัฒนภักดี ร่วมด้วย ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์, วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ที่ปรึกษากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และคณะผู้บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง, ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ เฝ้าฯ รับเสด็จ
ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์-วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์-ปภัชญา-ฐาปน สิริวัฒนภักดี-พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง
ฐาปน สิริวัฒนภักดี เผยถึงจุดประสงค์ของการก่อสร้างอาคารสิริภักดีธรรม ว่าเกิดขึ้นจากแนวคิดของ พระเดชพระคุณ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ที่ต้องการพัฒนาพื้นที่ใช้สอยภายในบริเวณวัดให้ได้ประโยชน์ในการเผยแผ่สูงสุด โดยจะเอื้อต่อภารกิจของวัดในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า รวมทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภิกษุสงฆ์และสามเณร รวมถึงพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาในพุทธศาสนาอีกด้วย มูลนิธิสิริวัฒนภักดี ได้เล็งเห็นความสำคัญของการสืบทอดบวรพุทธศาสนา จึงได้แสดงความจำนงสร้างอาคารศึกษาและปฏิบัติธรรมถวายวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อเทิดพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งต่อมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนามอาคารศึกษาและปฏิบัติธรรมแห่งนี้ว่า “อาคารสิริภักดีธรรม”
สำหรับ “อาคารสิริภักดีธรรม” เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น ขนาดกว้าง 14 เมตร ยาว 52 เมตร และมีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม คือลวดลายของอาคารได้ใช้แนวคิดการออกแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัย เช่นเดียวกับอาคารโรงเรียนพุทธศาสนา ได้แก่ “ลายประจำยาม” ซึ่งเป็นลายไทยพื้นฐานมาช่วยในการตกแต่งในส่วนของประตูหน้าต่าง ในส่วนของค้ำยัน (คันทวย) ได้ใช้ลวดลายของพระพรหมวิจิตรมาปรับสัดส่วนให้เข้ากับอาคาร นอกจากรูปลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมแล้ว ยังคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร การระบายอากาศและการนำแสงสว่างเข้ามาในอาคารอย่างเพียงพอ เพื่อประหยัดการใช้พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย
"ชั้นหนึ่ง จัดเป็นพิพิธภัณฑ์และห้องสมุด โดยในส่วนของห้องสมุดจะมีการรวบรวมหนังสือและสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่และที่เกี่ยวกับการเทศน์ทั้งหมดของวัดต่างๆ ในประเทศไทย รวมถึงหนังสือของพระอาจารย์ท่านต่างๆ ภายในวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เช่น หนังสือของหลวงตาแพร เยื่อไม้ ตั้งแต่อดีต ส่วนพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการจะรวบรวมของที่ระลึกที่มีคุณค่าที่ผู้มีจิตศรัทธาถวายแด่พระเดชพระคุณ พระพรหมบัณฑิต จัดแสดงควบคู่กับประวัติของท่านเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ชั้นสอง จัดสร้างเป็นที่พักสำหรับผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ซึ่งในส่วนนี้นับเป็นการจัดทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ที่มาเข้าร่วมการปฏิบัติธรรม เนื่องจากในอดีตหากมีการจัดโครงการอบรมธรรมะหรือการปฏิบัติธรรมขึ้นภายในวัด ผู้ที่มาเข้าร่วมจะพักอยู่ที่โรงเรียนส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจมีความไม่สะดวกเท่าใดนัก และ ชั้นสาม ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ จัดเป็นพื้นที่สำหรับการศึกษาและปฏิบัติธรรมควบคู่กัน จุดประสงค์ของการสร้างอาคารนี้มีอยู่สองอย่าง แม้ชื่อเริ่มแรกจะเป็นอาคารปฏิบัติธรรมแต่จะรวมเรื่องการศึกษาธรรมะเข้าไปด้วย เพราะในแง่ของการเผยแผ่การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้มีเพียงการนั่งกรรมฐานอย่างเดียว แต่จะมีการบรรยายธรรม อบรมศีลธรรม ควบคู่ไปด้วย เรียกว่าเป็นการอบรมด้านธรรมะที่มีทั้งปฏิบัติธรรม กรรมฐาน และบรรยายธรรมควบคู่กัน”รองประธานกรรมการอำนวยการโครงการ กล่าว