ไลฟ์สไตล์

โลกใบนี้ดนตรีไทย -  สิ่งละอันพันละน้อย

โลกใบนี้ดนตรีไทย - สิ่งละอันพันละน้อย

10 พ.ย. 2552

เมื่อฉบับที่แล้วผมได้ตอบคำถามของคุณแพรที่เข้ามาทาง hi5 ของผมโดยคุณแพรถามว่า เรียนเพลงสาธุการจำเป็นต้องจับมือก่อนหรือเปล่า พอมาฉบับนี้คุณแพรได้ถามอีกว่า เรียนเพลงสาธุการมา 4 ปีแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าพิธีไหว้ครูจับมือจะเป็นอะไรหรือเปล่า ซึ่งผมคิดว่าคำถามของคุ

 แต่มันก็อยู่ที่ว่าคุณแพรยังเล่นดนตรีไทยอยู่หรือเปล่าถ้ายังเล่นอยู่ผมคิดว่าควรจะทำให้ถูกต้องตามประเพณีดนตรีไทย  เพราะผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของความเป็นมงคลที่จะนำมาสู่ความสุขและความเจริญนั่นเอง เดี๋ยวเดือนหน้าผมก็จะทำพิธีไหว้ครูประจำปีที่บ้าน ก็ขอเชิญคุณแพรและทุกๆ ท่านเข้าร่วมพิธีได้ และผมก็กล้าบอกได้เลยว่า พิธีไหว้ครูที่บ้านผมศักดิ์สิทธิ์มากด้วยนะครับ

 ข้อต่อไปจาก คุณชายฟลุค ถามว่า   เคยเข้าพิธีไหว้ครูดนตรีไทยและเห็นพิธีกรเรียก เพลงโหมโรงสิ่งละอันพันละน้อย ก็เลยอยากทราบความหมายของชื่อเพลงนี้และทำไมถึงต้องตีเพลงนี้ คือโหมโรงสิ่งละอันพันละน้อยความจริงก็คือ เพลงโหมโรงเย็น นั่นเองโดยนักดนตรีไทยทุกคนจะทราบกันดีว่า จะต้องตีเพลงโหมโรงเย็นที่มีอยู่ทั้งหมด 10-12 เพลงให้ครบ แต่ก็จะตีแบบตัดหรือตีไม่ครบทั้งเพลงหรืออาจจะบอกว่าตีอย่างละนิดอย่างละหน่อยซึ่งมันก็ตรงความหมายของคำว่า สิ่งละอันพันละน้อยนั่นเอง

 ส่วนทำไมถึงต้องตีเพลงนี้ ก็คือเพลงนี้ได้รวมเพลงหน้าพาทย์ชั้นต้นและชั้นกลางเอาไว้หลายเพลง โดยในโองการไหว้ครูของปี่พาทย์จะต้องเรียก เพลงตระโหมโรง ซึ่งเป็นหนึ่งที่อยู่ในเพลงโหมโรงเย็น โดยถ้าพิธีกรเรียกเพลงโหมโรงสิ่งละอันพันละน้อยแล้วก็เหมือนกับตีเพลงตระโหมโรงแล้วก็แถมเพลงอื่น เช่น กราวใน และอีกหลายเพลง ก็เท่ากับว่าเรียกเพลงเดียวแต่ก็จะครอบคลุมไปอีกหลายเพลง แต่ตามตำราไหว้ครูของปี่พาทย์ ถ้าพิธีกรไม่เรียกเพลงโหมโรงสิ่งละอันพันละน้อย ก็จะต้องเรียก เพลงตระโหมโรง ต่างหากเพลงเดียว ทั้งนี้ก็อยู่ที่พิธีกรที่กล่าวนำโองการไหว้ครูซึ่งจะดูความเหมาะสมในเรื่องของเวลานั่นเอง

 สรุปว่าสิ่งละอันพันละน้อยก็คือ อะไรหลายๆ อย่างเล็กๆ น้อยๆ มารวมกัน และเพื่อให้สมแก่หัวข้อเรื่องผมคิดว่าควรจะเขียนเรื่องอื่นๆ มารวมกันบ้างดีกว่า แต่ความจริงแล้วอยากจะบอกว่ามันหมดคำถามที่จะต้องตอบแล้วมากกว่า และเนื้อที่ในการเขียนก็ยังเหลืออีกเยอะแยะประกอบด้วยตอนนี้อากาศบ้านเราก็กำลังเย็นสบาย เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวแทบจะเรียกว่าฟูลซีซั่น และในเดือนหน้าคิดว่าอากาศก็คงจะเย็นลงกว่านี้อีก

 แต่มันก็เอาอะไรแน่นอนกับอากาศบ้านเราไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาบ้านเราไม่เคยหนาวแบบตลอดฤดูกาลเหมือนกับประเทศในแถบทวีปยุโรป และอีกในไม่กี่วันผมเชื่อว่าอากาศก็จะกลับไปร้อนและก็จะกลับมาหนาวสลับไปมา แต่จะว่ากันจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับธรรมชาติ
 
 อย่างช่วงนี้ภาคใต้ของบ้านเราก็กำลังประสบปัญหาในเรื่องของน้ำท่วมและก็ทำให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก ซึ่งพี่น้องชาวไทยที่อยู่ภาคกลางหรือภาคอื่นๆ ก็ได้แต่เอาใจช่วยให้เหตุการณ์ได้กลับคืนสู่ปกติโดยเร็ว และก็คงไม่มีใครไปห้ามหรือยับยั้งอุทกภัยไม่ให้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากมันเป็นภัยธรรมชาติและก็ดูเหมือนว่ามันจะหนักขึ้นทุกวัน มีทางเดียวก็ คือพวกเราต้องปลงหรือทำใจยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากธรรมชาติ

 แม้กระทั่งตัวผมเองก็คิดว่า อีกไม่ถึงสิบปีก็คงต้องยกพื้นที่บ้านให้สูงขึ้นเพื่อหนีน้ำอย่างแน่นอน แต่ผมก็คิดในแง่ดีว่า น้ำท่วมก็ยังดีกว่าแล้งน้ำ ลองคิดดูว่าถ้าเราไม่มีน้ำมาให้ดื่มหรือให้ใช้ ไม่เกิน 3 วันคงต้องตายแน่ๆ ก็เอาเป็นว่าสรรพสิ่งในโลกล้วนแต่ให้คุณและให้โทษด้วยกันทั้งสิ้น หรือโรคภัยไข้เจ็บ ใครจะคิดได้บ้างว่า บางส่วนบางมุมมันก็ให้ข้อดีกับพวกเราเหมือนกัน อย่างเช่น ไข้หวัด 2009 ถึงแม้จะทำให้ผู้คนต้องล้มตายอย่างมากมายแต่มันก็สอนให้พวกเราได้รู้จักสุขอนามัยที่ดีขึ้น ด้วยการขยันล้างมือ และที่สำคัญก็ทำให้ผู้ที่ประกอบธุรกิจในการขายเจลหรือน้ำยาล้างมือมีรายได้เข้ากระเป๋ามากขึ้น บางคนก็ร่ำรวยไปเลย

 ส่วนโรคเอดส์ก็เหมือนกัน ที่ช่วยให้ประชากรในโลกไม่เพิ่มขึ้นจนล้นโลก เพราะเนื่องจากเริ่มที่จะรู้จักป้องกันตัวโดยการใช้ถุงยางอนามัย และก็เช่นกัน ผู้ที่ประกอบธุรกิจถุงยางอนามัยหรือคอนดอมก็ร่ำรวยจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก เห็นไหมครับว่าคนเราส่วนใหญ่จะคิดว่า สิ่งที่มีประโยชน์มันก็จะมีโทษ แต่ไม่ค่อยมีใครคิดหรอกว่า สิ่งที่ให้โทษมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน

 หรีอแม้กระทั่งไอ้พวกที่เป็นโรคจิตที่ชอบ ฆ่าแล้วหั่นหรือฆ่าหลังข่มขืน มันก็มีประโยชน์เหมือนกัน ด้วยการจับเอาไปทำเป็นปุ๋ยให้หมดทุกคน เผลอๆ อาจจะร่ำรวยจากการขายปุ๋ยชนิดนี้ก็ได้ เพราะสมัยนี้คนชั่วมันมีเยอะซึ่งคิดว่าคงจะจับเอาไปผลิตเป็นปุ๋ยได้พอเพียงกับความต้องการของเกษตรกรบ้านเรา.......  ดีนะ

"ขุนอิน"