
โคลงเคลงบนรถไฟไป ฮัมบูร์ก
ฝนพรำ...ฮัมเพลง...โคลงเคลงบนรถไฟ...ไปฮัมบูร์ก (Hamburg)!!!! ที่จริงอยากจะตั้งชื่อการเดินทางเที่ยวนี้ไว้อย่างนั้น เพราะตั้งแต่ละจากชายคาเรือนพักรังหนูกลางนครเบอร์ลิน กระเตงเป้ขึ้นรถไฟ กระทั่งเคลื่อนออกจากรางเหล็ก ฝนยังพรำไม่ขาดเม็ด
เป็นบทสั่งลาของเบอร์ลินที่ถูกที่ถูกเวลาชะมัด ถ้าหลายวันที่ผ่านมาฉันถูกสายฝนขับไส คงไม่ขลุกอยู่กับเบอร์ลินอยู่ได้นานสองนานขนาดนี้
อาจจะเหมือนฉากโรแมนซ์ในหนังเกาหลีเรื่องไหนสักเรื่อง ที่รถไฟเคลื่อนออกจากชานชาลาโดยมีชายหนุ่มวิ่งไล่ตามม้าเหล็ก โดยมีฝนสาดเม็ดลงมาอย่างไม่ปรานีปราศัยใส่เขาจนหญิงสาวใจอ่อน แต่เรื่องจริงไม่เป็นอย่างนั้นสิ เพราะนอกจากจะไม่มีผู้ชายฝ่าสายฝนมาวิ่งตาม ผู้หญิงที่นั่งมองปรอยฝนซัดใส่กระจก คงต้องบินไปโมดิฟายหน้าที่เกาหลีอีกสัก 10 รอบ ถึงจะสวยได้เหมือนนางเอกหนังเกาหลี
ดีลีทฉากโรแมนซ์ของหนังเกาหลีออกจากหัว แล้วดึงตัวเองกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฮัมบูร์กในม่านฝน!! ดูท่าวันนี้อาจจะเป็นแบบนั้น คิดได้อย่างนี้เลยได้แต่นั่งงึมงัมฮัมเพลงปลอบใจตัวเอง
จากเบอร์ลินไปฮัมบูร์กประมาณชั่วโมงครึ่ง นั่นเป็นข้อมูลที่ฉันคลิกเข้าไปทำการบ้านจาก www.raileurope.fr แต่เพื่อความชัวร์ เลยยกหูโทรศัพท์ถาม ดีทแฮล์มฯ อีกรอบ (0-2660-7067-9) เสียงใสๆ จากปลายทางบอกว่าจากเบอร์ลินมีรถไฟไปฮัมบูร์กออกทุกชั่วโมง รถไฟหลายประเภท มีตั้งแต่ชั่วโมงครึ่งไปจนถึง 2 ชั่วโมง ช้าเร็วแล้วแต่ประเภทของรถไฟ
รถไฟยุโรปพาโคลงเคลงอยู่ราวชั่วโมงสี่สิบนาที ก็เคลื่อนเข้าสถานีรถไฟกลางประจำเมืองแห่งฮัมบูร์ก โลกรู้จักฮัมบูร์กในฐานะเมืองท่าที่สำคัญของโลก ไม่น้อยหน้ามหานครนิวยอร์กหรือลอนดอน
ตัวตนของฮัมบูร์กคือเมืองไซส์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเยอรมนี หัวใจของฮัมบูร์กขยับได้ด้วยการค้าระหว่างประเทศ ที่ไหลเข้าออกผ่านท่าเรือขนาดใหญ่
ไม่น่าเชื่อว่าฮัมบูร์กจะเคยถูกสงครามโลกครั้งที่ 2 ละเลงจนเมืองยับเยิน ผู้คนล้มตายนับหมื่น และอีกนับล้านที่ต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน เพราะใครที่เห็นฮัมบูร์กในทศวรรษนี้ เป็นต้องบอกว่าเอี่ยมอ่องเสียจนหาตำหนิและแผลเป็นของฮัมบูร์กแทบไม่เจอ
หลังสิ้นสงคราม ฮัมบูร์กถูกเยอรมนีกลับมาจับขัดสีฉวีวรรณจนเนื้อหอม แต่ละปีมีนักธุรกิจการค้าจากทั่วโลก เดินทางมาเพื่อเจรจาธุรกิจติดต่อเรื่องค้าขายกับฮัมบูร์ก บางบริษัทถึงกับมาลงหลักปักฐานในฮัมบูร์กกันเลย
ฮัมบูร์กได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นเมืองการค้านานาชาติและเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และกลายเป็นมหานครที่หมายมั่นให้โดดเด่นทั้งในด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในแถบยุโรปตอนเหนือ มีประชากรมากกว่า 4 ล้านคน นั่นทำให้ฮัมบูร์กวางรากฐานเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตเอาไว้อย่างดี
ความเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยของเมือง ถูกถ่ายทอดผ่านอาคารบ้านเรือนและวิลล่าราคาแพงๆ ภายใต้สถาปัตยกรรมอันงดงาม แต่แม้ว่าฮัมบูร์กจะเป็นเมืองการค้าและอุตสาหกรรม ก็ยังเป็นเมืองสีเขียวที่มีต้นไม้และสวนเกษตรกรรมเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่เมือง
ยังมีอีกหลายมุมที่ฮัมบูร์กไม่ค่อยได้ถูกพูดถึง อย่างน้อยก็เรื่องที่เป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษาและเป็นเมืองมหาวิทยาลัย หรือแง่มุมของการเป็นเมืองวัฒนธรรม ที่เต็มไปด้วยสุนทรีย์ สะท้อนได้จากโรงละคร โอเปร่า เฮ้าส์ หอศิลปะ และพิพิธภัณฑ์ที่มีเกลื่อนเมือง
หากมองในมิติของการท่องเที่ยว ฮัมบูร์กยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักเดินทางผู้ปรารถนาจะเห็นเมืองใหญ่ที่อวลไว้ด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมเคล้ากับกลิ่นเค็มจากไอทะเล
นักเดินจากจากทั่วโลกที่มาเยี่ยมเยียนเยอรมนี จึงมักเลยจากเบอร์ลินเพื่อมายืนสูดกลิ่นทะเลแถวท่าเรือฮัมบูร์ก เดินเล่นในตลาดปลาริมทะเล นั่งเรือเลาะเลียบไปตามแม่น้ำเอลเบและตามคูคลอง หรือไม่ก็ไปเดินเล่นแถวทาวน์ ฮอลล์ ตกค่ำย้ายไปดูสีสันของฮัมบูร์กไนท์ไลฟ์ในย่านเรพเพอร์บาน หรือไม่ก็เข้าไปขลุกอยู่ในโรงละครที่ไหนสักแห่ง
นี่ไง ชีวิตอาบคลื่นลมห่มสุนทรีย์ที่อยู่รอบเมืองฮัมบูร์ก
"กาญจนา หงษ์ทอง"