ไลฟ์สไตล์

การบริหารจัดการความโลภ(จบ)"อิสรภาพจากความอยาก”คือ มนุษย์ที่มีความสุขแท้

การบริหารจัดการความโลภ(จบ)"อิสรภาพจากความอยาก”คือ มนุษย์ที่มีความสุขแท้

12 ต.ค. 2552

“ความโลภ” คือ ความอยาก หรือความต้องการ ที่มีอยู่แล้วในคนทุกคน ที่ยังเป็นปุถุชน

 ความต้องการในระดับทั่วๆ ไป นับเป็นแรงจูงใจให้คนสร้างสรรค์พัฒนาตัวเอง เพื่อให้มีชีวิตรอด
 แต่ความต้องการที่มากเกินพอดี (อภิชฌาวิสมโลภ)  นับเป็นกิเลสส่วนเกินของชีวิต ที่ควรได้รับการบริหารจัดการ เพราะหากเราไม่ “จัดการ” มันก่อน ก็อาจเป็นฝ่ายถูกมัน “จัดการ”
 และนี่เป็นเหตุให้เราต้องมาเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์แห่งการจัดการความโลภ (Kilesa Management)
 สาระสำคัญของการจัดการความโลภ
 ก.ธรรมชาติของความโลภ
 ธรรมชาติเดิมแท้ของจิตนั้น บริสุทธิ์ เป็นอิสระ แต่เศร้าหมอง หรือเสื่อมคุณภาพลงไป เพราะกิเลสที่เป็นอาคันตุกะเข้ามาปลอมปนอยู่ในใจคน
 กิเลสสำคัญระดับเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งปวง มี ๓ ประการ คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
 กิเลสทั้งปวงนี้ ไม่ใช่ธรรมชาติของจิตมาแต่เดิม ต่อเมื่อคนยังไม่ตื่นรู้ (ขาดสติ) กิเลสเหล่านี้จึงเข้ามายึดพื้นที่ส่วนใหญ่ในหัวใจ และทำให้ชีวิตเกิดความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยความทุกข์
 “ความโลภ” เป็นกิเลสอันตราย ที่กำลังครอบงำคนทั่วโลกในนามของ “ทุนนิยมโลกาภิวัตน์” โดยมีลัทธิ “วัตถุนิยม” และ “บริโภคนิยม” เป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ หากเรารู้ไม่เท่าทันธรรมชาติของความโลภ ชีวิตทั้งชีวิตคงถูกใช้เพื่อตกเป็นทาสของความโลภเพียงอย่างเดียว
 คนที่ตกเป็นทาสของความโลภนั้น ไม่ต่างอะไรกับคนที่เพียร “ตักน้ำไปเติมทะเล” ซึ่งต่อให้พยายามไปจนตายก็ไม่ประสบความสำเร็จ
 พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า “อิจฺฉา อนนฺตโคจรา” แปลว่า “ความต้องการ (โลภ) ไร้ขีดจำกัด”
      มหาตมะ คานธี เคยกล่าวว่า “ทรัพยากรในโลกมีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก แต่ไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนละโมภเพียงคนเดียว”
 ในเมื่อทรัพยากรของโลกมีอยู่อย่างจำกัด แต่ความต้องการ (โลภ) ของคนมีอยู่อย่างไร้ขีดจำกัด ใครก็ตามที่พยายามแสวงหาทรัพยากรมาป้อนความต้องการ โดยหวังว่าจะทำให้เต็ม อิ่ม ได้ในวันหนึ่ง คือ คนที่กำลังทำในสิ่งซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้
 เหมือนคนที่พยายามขับรถ เพื่อมุ่งไปให้ถึงตรงเส้นขอบฟ้า ซึ่งแม้จะมีความเพียรเพียงไร ก็ไม่มีทางบรรลุความสำเร็จตามที่หมาย
 ข.วิธีบริหารจัดการความโลภ
 การบริหารจัดการความโลภ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายแก่ชีวิตมากเกินไปนั้น สามารถทำได้โดย
 ๑. รู้ทันธรรมชาติของความโลภ (ว่าไร้ขีดจำกัด - - ดังนั้นจึงต้องบอกตัวเอง ให้รู้จักคำว่า “พอ”)
 ๒. เปลี่ยน “ท่าที” ในการบริโภค (จากการบริโภคโดยคุณค่าเทียม มาเป็นการบริโภคโดยคุณค่าแท้ หรือจากการบริโภคเพื่อมุ่งการ “ประดับ” มาเป็นการบริโภคเพื่อมุ่ง “ประโยชน์”)
 ๓. พัฒนาศักยภาพในการมีความสุขให้สูงขึ้น จากการมีความสุข โดยการบริโภคเพียงอย่างเดียว มาเป็นการแสวงหาความสุขจาก
 ๓.๑ ความสุขจากความมี (ปัจจัย ๔ ขั้นพื้นฐาน)
 ๓.๒ ความสุขจากความดี (บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ หรือเป็นผู้ให้)
 ๓.๓ ความสุขจากความรู้ (ความสุขจากการแสวงปัญญาและใช้ปัญญา)
 ๓.๔ ความสุขจากความสงบ (สมาธิภาวนาตั้งแต่พื้นฐานถึงระดับฌาน)
 ๓.๕ ความสุขจากความเป็นอิสระจากความอยากอย่างสิ้นเชิง  (วิมุตติ/นิพพาน) 
 ค. “ความสามารถในการมีความสุข” - - ศักยภาพที่ถูกมองข้าม
 มนุษย์ที่ถูกหล่อหลอมมาจากโลกตะวันตก มีความเชื่อกันว่า “การที่มนุษย์มีความอยาก อย่างอิสระ คือ อยากอะไรก็ได้สมอยาก นับเป็นความสุข หรือนับเป็นเสรีภาพชนิดหนึ่งของชีวิต
 และยกย่องกันว่า ความมีเสรีที่จะอยาก คือ ยอดปรารถนาของมนุษย์ในโลกเสรี แต่ในโลกตะวันออก โดยเฉพาะในพุทธศาสนา เราถือกันว่า มนุษย์ที่เป็น “อิสระจากความอยาก” ต่างหาก คือ มนุษย์ที่มีความสุขแท้
 และเราทุกคน ต่างก็มี ศักยภาพที่จะมีความสุข ซึ่งเกิดจากการเป็น “อิสระจากความอยาก” นี้อยู่ด้วยกันทุกคน
 ดังนั้น เราจึงควรพัฒนาศักยภาพที่จะมีชีวิตที่เป็นอิสระ จากความอยากนี้ขึ้นมาในชั่วชีวิตให้ได้ ซึ่งหากใครทำได้ คนคนนั้นก็จะเป็นเสรีชน (ผู้หลุดพ้นจากความอยาก/ความโลภ) มีก็แต่คนที่เป็นอิสระจากความอยากเท่านั้น จึงจะเป็นคนที่มีความสุขที่แท้จริง
 และการจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องเพียรเจริญ “วิปัสสนากรรมฐาน” การหมั่นระลึกรู้อยู่เสมอ ในชีวิตประจำวัน การเจริญสติกระตุ้นความรู้สึกตัวน้อยๆ อยู่เสมอ คือ จุดเริ่มต้นของการจัดการความโลภ ที่ได้ผลยั่งยืนที่สุด และเราสามารถทำได้ทันทีในปัจจุบัน ขณะที่นี่ และเดี๋ยวนี้