
ระบบบังคับเลี้ยว
ระบบพวงมาลัยหรือระบบบังคับเลี้ยวสำหรับรถยนต์ในบ้านเราก็จะมีด้วยกันอยู่สองแบบคือ แบบลูกปืนหมุนวน หรือเรียกกันว่า แบบกระปุก ซึ่งก็มีใช้กันทั้งแบบธรรมดาและแบบมีเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง
แบบนี้เป็นแบบที่ใช้ได้ทนทาน ดูแลบำรุงรักษาง่าย ปัจจุบันก็หลงเหลืออยู่แต่ในรถบรรทุกและรถกระบะบางยี่ห้อเท่านั้น และก็คงจะสูญพันธุ์ไปในระยะเวลาอันใกล้นี้ อีกแบบหนึ่งเป็นแบบที่เรียกว่า แร็กแอนด์พิเนียน (Rack & pinion) หรือเรียกแบบไทยๆ ได้ว่าแบบเฟืองสะพาน ทั้งสองระบบแทบจะเรียกได้ว่ามีส่วนประกอบที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง พวงมาลัยในแบบแร็กฯ นี้มีขนาดกะทัดรัด ใช้เนื้อที่ในการติดตั้งในห้องเครื่องน้อย มีชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องน้อยกว่าแบบแรก และมีให้ใช้ทั้งแบบธรรมดาที่ไม่มีให้เห็นกันแล้วและเพาเวอร์ผ่อนแรง ซึ่งตัวช่วยในการผ่อนแรงหรือเพาเวอร์นั้น ปัจจุบันก็มีด้วยกันสามแบบคือ แบบใช้น้ำมันอย่างเดียว หรือเรียกว่าแบบไฮดรอลิก (Hydraulic power steering) ต่อมาก็เป็นแบบไฮดรอลิก ร่วมกับไฟฟ้า (Electro-hydraulic power steering) และสุดท้ายที่ทันสมัยหรือแบบล่าสุดเป็นแบบมอเตอร์ไฟฟ้า(Electric power steering : EPS) ในรุ่นที่ติดตั้งระบบไฮดรอลิก จะประกอบไปด้วย ปั๊มสร้างแรงดัน (Vane pump) ที่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ โดยมีสายพานเป็นตัวต่อเชื่อมกำลังเครื่องยนต์ มีท่อน้ำมันพาน้ำมันแรงดันสูง (High pressure hose) ที่ได้รับการสั่งการจากการหมุนพวงมาลัย หรือในกรณีนี้การหมุนพวงมาลัยก็คือ การเปิดหรือปิดวาล์วน้ำมันให้น้ำมันเข้าไปบังคับให้ชุดแร็กแอนด์พิเนียน ซึ่งเป็นเพียงกระบอกยาวแท่งหนึ่ง ภายในมีแกนเหล็กที่เรียกว่า แกนแร็ก เป็นตัวรับและส่งทิศทางการเคลื่อนที่ (หมุน) ของล้อจากการบังคับที่พวงมาลัย ภายในกระบอกและแกนแร็กนี้ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนที่เป็นยาง (ซีลกันน้ำมัน) แหวน (พลาสติกหรือเทฟลอน) ช่วยกักแรงดันน้ำมันเอาไว้ เมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง ซีลยางและแหวนกักแรงดันก็จะสึกหรอตามสภาพ โดยทั่วไปแล้วในรถยนต์บางยี่ห้อก็จะมีชุดซ่อมซึ่งประกอบด้วยซีลยางและเทฟลอน และชิ้นส่วนเล็กน้อยบรรจุในถุงพลาสติกขายกันเป็นชุดราคาก็เพียงแค่หลักพันต้นๆ เพียงแต่ช่างที่จะทำงานชิ้นนี้จะต้องผ่านการฝึกอบรมเคล็ดลับในการถอดและประกอบเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้งานได้เหมือนเดิม อย่างไรก็ตามยังมีค่ายผลิตหลายยี่ห้อที่ไม่มีชุดซ่อมจำหน่ายเมื่อน้ำมันเพาเวอร์รั่วหรือที่ช่างเรียกกันว่าแร็กรั่ว ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแร็กกันทั้งชุด ราคาก็เริ่มต้นกันที่หลักหมื่นจนถึงริมๆ แสน แบบต่อมาที่เป็นแบบน้ำมันและไฟฟ้าก็จะใช้ตัวมอเตอร์มาทำหน้าที่แทนปั๊มเพาเวอร์ โดยที่มอเตอร์นี้จะสร้างแรงดันให้น้ำแทนปั๊มตัวเดิม ส่วนตัวแกนแร็กก็จะยังคงรูปแบบและส่วนประกอบเดิมๆ ข้อดีของพวงมาลัยแบบนี้ก็คือตัวมอเตอร์จะถูกนำไปติดตั้งตรงส่วนใดของรถยนต์ก็ได้ที่สะดวกในการเดินสายไฟ ไม่จำกัดที่จะต้องติดตั้งอยู่หน้าเครื่อง และเมื่อตัดตัวปั๊มน้ำมันแบบเดิมภาระในการดูแลรักษาในการปรับตั้งสายพานหรือเปลี่ยนสายพานก็หมดไป แต่ก็ยังมีข้อเสียคือยังต้องใช้น้ำมัน ยังต้องใช้ท่อทางเดินน้ำมันเหมือนกับแบบเดิม การดูแลรักษาจำเป็นที่จะต้องตรวจดูระดับน้ำมันดูการรั่วซึมที่แร็ก และดูการทำงานของมอเตอร์ ดูเหมือนว่าระบบพวงมาลัยหรือระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้จะไม่เป็นที่นิยมมากนัก เพราะยังมีข้อยุ่งยากในการดูแลบำรุงรักษา ทั้งระบบน้ำมัน ระบบไฟฟ้าและระบบกลไก มีรถยนต์หลายรุ่นในบ้านเราที่ใช้ระบบนี้ แต่พอมีการปรับเปลี่ยนโฉมก็จะถูกยกเลิกไปโดยหันไปใช้ระบบล่าสุดคือระบบไฟฟ้าเต็มระบบ หรืออีพีเอส ระบบนี้จะตัดส่วนประกอบที่รกรุงรังในห้องเครื่องออกไปจนหมด จากวงพวงมาลัยที่ก่อนนี้ใช้ทำหน้าที่เป็นวาล์วเปิดปิดน้ำมัน เปลี่ยนมาเป็นตัวควบคุมกระแสไฟฟ้าไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า ที่อยู่ร่วมกับชุดแร็กพวงมาลัย เมื่อพวงมาลัยขยับ กระแสไฟฟ้าก็จะไปสั่งงานให้มอเตอร์นั้นทำงานเกิดแรงบิดไปหมุนกลไกให้ชุดแร็กทำงาน อีพีเอส จึงเป็นระบบบังคับเลี้ยวที่ไม่ต้องดูแลบำรุงรักษา ครับช่วงระยะเวลานี้และต่อไปในอนาคตนวัตกรรมของยานยนต์จะต้องพึ่งระบบไฟฟ้าเข้าไปมากทุกที การเลือกใช้รถในปัจจุบันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ในรถยนต์ อย่างน้อยก็ทำให้เราเลือกได้ว่าจะใช้รถแบบใดจึงจะประหยัดค่าซ่อมบำรุงรักษาตลอดระยะเวลาที่เราใช้มันอยู่