เราคุ้นเคยกับคำว่า o’clock มานาน แต่เคยสงสัยมั๊ยคะว่า คำนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร จึงมาใช้เป็นคำบอกเวลาในปัจจุบัน
Why we say “o’clock”
What time is the meeting? (ประชุมกี่โมง)
2 o’clock. (บ่าย 2)
เราคุ้นเคยกับคำว่า o’clock มานาน แต่เคยสงสัยมั๊ยคะว่า คำนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร จึงมาใช้เป็นคำบอกเวลาในปัจจุบัน
คำว่า clock มาจากคำว่า clocca ในภาษาละตินในยุคกลางที่มีความหมายว่า bell หรือระฆัง ซึ่งหมายถึงเสียงระฆังจากหอนาฬิกาในสมัยก่อนที่จะตีบอกเวลาแก่ชาวบ้าน
ส่วนที่มาของคำว่า o’clock นั้นมีประวัติย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่นาฬิกายังไม่เป็นที่แพร่หลาย ผู้คนจะใช้วิธีบอกเวลาที่แตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าจะอยู่ที่แห่งหนใดหรืออ้างอิงกับอะไร
โดยทั่วไป การบอกเวลามักอ้างอิงกับดวงอาทิตย์ ซึ่งจะแตกต่างจากเวลาตามนาฬิกาเล็กน้อย เพราะเวลาตามนาฬิกาจะถูกแบ่งเท่าๆ กัน แต่เวลาสุริยะ (solar time) เช่นเวลาจากนาฬิกาแดดนั้น ความยาวของชั่วโมงจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ฤดูกาล ดังนั้นในต้นศตวรรษที่ 14 เพื่อป้องกันความสับสนว่า คนกำลังพูดถึงเวลาตามนาฬิกาไม่ใช่เวลาสุริยะ จึงพูดว่า “It is six of the clock.” และต่อมาค่อยๆ กร่อนเหลือ “six o’clock” ในราวศตวรรษที่ 16 หรือ 17 โดยบางคนอาจละ “o” ไว้ด้วยเหลือเพียง “six clock” เท่านั้น
ปัจจุบัน แม้นาฬิกาจะแพร่หลายและแทบจะไม่มีใครใช้นาฬิกาแดดบอกเวลากันอีก แต่เราก็ยังคงใช้คำว่า o’clock กันอยู่ โดยจะใช้สำหรับการบอกเวลาที่เป็นชั่วโมงตรงเท่านั้น เช่น 8:00 (อ่านว่า eight o’clock) ในกรณีที่ต้องการให้เกิดความชัดเจนว่าเราหมายถึง 8 นาฬิกาในตอนเช้า หรือในตอนค่ำ เราอาจใช้วลี in the morning ต่อท้ายในกรณีที่เป็นเวลาก่อนเที่ยงวัน เช่น eight o’clock in the morning (8 นาฬิกาหรือ 2 โมงเช้า) แต่หากเป็นเวลาหลังเที่ยงวัน เราอาจใช้วลี in the afternoon, in the evening or at night ต่อท้ายแล้วแต่กรณี เช่น eight o’clock in the evening (20 นาฬิกา หรือ 2 ทุ่ม) three o’clock in the afternoon (15 นาฬิกา หรือบ่าย 3 โมง)
สำหรับ a.m. เป็นคำย่อมาจากพยัญชนะตัวแรกของวลี ante meridiem ซึ่งเป็นภาษาละตินมีความหมายว่า before midday หรือก่อนเที่ยงวัน ส่วน p.m. เป็นคำย่อมาจาก post meridiem ที่มีความหมายว่า after midday หรือหลังเที่ยงวัน
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ
ผศ. ชลาธิป ชาญชัยฤกษ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง