
เด็กสบเมยอ่านออก-เขียนได้=เรียนดี
ภาษาและการสื่อสารมีความสำคัญกับเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้ ร.ร.บ้านสบเมย หนึ่งใน รร.ขนาดเล็ก จ.แม่ฮ่องสอน ให้ความสำคัญการใช้ภาษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเด็ก
เมื่อวันที่ 6-8 ธันวาคมที่ผ่านมา ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน เดินทางไปลงพื้นที่และรับทราบถึงปัญหาของโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมทั้งสิ้น 14 โรงเรียน ได้แก่ ร.ร.บ้านห้วยปางผาง ร.ร.บ้านแม่สวรรค์น้อย ร.ร.บ้านแม่ลิด ร.ร.บ้านแม่สะกั๊ว ร.ร.บ้านห้วยห้วยหมากหนุน ร.ร.บ้านห้วยผึ้ง ร.ร.บ้านแม่เกาะวิทยา ร.ร.บ้านแม่ทะลุ ร.ร.ชุมชนบ้านผาผ่า ร.ร.บ้านห้วยห้อม รร.บ้านแม่ก๋อน ร.ร.บ้านห้วยแห้ง ร.ร. บ้านสบเมย และ ร.ร.บ้านแม่สามแลบ
หนึ่งในนั้นคือ โรงเรียนบ้านสบเมย ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอนเขต 2 โรงเรียนบ้านสบเมย มีนักเรียนรวมทั้งสิ้น 247 คน เด็กนักเรียนที่นี่ทุกคนเป็นเด็กชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงปากะญอร้อยเปอร์ซ็นต์โดยมีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทั้งหมด 16 คน โดยมีผู้ดูแลโรงเรียนอย่าง ผอ.บุญช่วย ขัติยะ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสบเมย
ผอ.บุญช่วย ขัติยะ
ผอ.บุญช่วย เล่าว่า โรงเรียนบ้านสบเมย เป็นโรงเรียนขยายโอกาสให้กับเด็กในถิ่นทุรกันดาร มีเด็กพักนอนอยู่โรงเรียน 115 คน ทางโรงเรียนดูแลตั้งแต่อาหารเช้า กลางวัน เย็น เครื่องนอน นอกนั้นเป็นเด็กบ้านใกล้ที่สามารถเดินทางไปกลับได้ โดยโรงเรียนจะให้ความสำคัญกับการใช้ภาษาและการสื่อสารของเด็กเป็นหลัก
การเรียนรู้สำหรับเด็กที่นี่ ต้องมาจากปัญหาที่ในตัวเด็กยังไม่ได้รับการปลูกฝัง ทางโรงเรียนจึงเน้นเรื่องภาษาและการสื่อสารเป็นหลัก แล้วค่อยสอดแทรกเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ความรับผิดชอบ ที่ในตัวเด็กควรมี บวกกับการใช้ชีวิตของเด็กที่ต้องมีสุขภาพร่างกาย สภาพจิตใจที่ดี
ทางโรงเรียนจึงให้ความสำคัญตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน ตลอดจนภาษาที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน เนื่องจากทางโรงเรียนขาดแคลนครูผู้สอน ครูบางคนยังไม่บรรจุ เป็นครูฝึกสอน ต้องเดินทางไปสอบบ้างจึงขาดความต่อเนื่อง ทำให้เด็กเรียนรู้ไม่เต็มที่ จึงไม่แปลกที่เด็กจะกลับไปใช้ภาษาและวิถิชีวิตบ้านเกิดของเขา
เด็กที่นี่รักภาษาของตนเอง ซึ่งภาษากะเหรี่ยงจะไม่มีตัวสะกด อาทิคำว่า “ฉันเห็น” เป็น “ฉันเห” การเรียนการสอนจึงค่อนข้างลำบาก โรงเรียนจึงเน้นทางครูผู้สอนให้หาวิธีทำอย่างไรก็ได้ให้เด็กสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งส่งเสริมให้มีชีวิตที่ดีขึ้น” ผอ.บุญช่วย กล่าว
ผอ.บุญช่วย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้โรงเรียนยังขาดแคลนหลายๆ ปัจจัย ที่ทำให้เด็กไม่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ อาทิเช่น อาคารเรียน หอพักนอนนักเรียน โรงอาหาร ห้องสมุด บ้านพักครู ไฟฟ้า และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ เนื่องจากไม่มีงบประมาณเข้ามาสนับสนุน ประกอบกับการเดินทางเข้าถึงโรงเรียนค่อนข้างลำบาก เพราะใช้เรือในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง รวมทั้งอาหารที่ต้องซื้อมาจากในเมือง ทำให้ของสดไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน ทางโรงเรียนจึงให้เด็กปลูกผักกินเอง แต่ก็ไม่เพียงพอ เพราะเด็กต้องได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการเด็กรวมถึงสุขภาพร่างกาย
“ครูผึ้ง” กัญจนา ปินตาคำ
“ครูผึ้ง” กัญจนา ปินตาคำ ครูผู้ช่วยโรงเรียนบ้านสบเมย เล่าว่า การที่ทำให้เด็กใช้ภาษาสื่อสารกันอย่างถูกต้องค่อนข้างยากมาก ในช่วงแรกๆ ต้องใช้ภาพประกอบให้เขาเห็นว่ามันคืออะไร เมื่อเขาดูจากภาพแล้วรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เราก็ต้องสอนให้เขาพูด เขียน จึงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะเรียนรู้ได้ก็ประมาณชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เด็กจะเริ่มอ่านออก เขียนได้ ส่วนวิชาอื่นๆ ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะถ้าเด็กเรียนรู้ภาษาไทยได้แล้ว การเรียนวิชาอื่นก็คงจะง่ายขึ้น
“ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร แต่เราในฐานะที่เป็นครูจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อยกระดับการศึกษาให้เท่าเทียมกับสถานศึกษาอื่นๆ จนได้รับรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โล้รางวัลบ้านวิทยาศาสตร์น้อย แห่งประเทศไทย ประจำปีการศึกษา 2560-2562 การแข่งขันศิลปหัตถกรรมระดับเขต รางวัลระดับเหรียญทอง รางวัลเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งที่การันตีถึงคุณภาพของเด็กไม่แพ้เด็กที่อยู่ในเมือง” ครูผึ้ง กล่าว
นอกจากกิจกรรมวิชาการแล้ว ทางโรงเรียนจะเน้นกิจกรรมเสริมทักษะเพื่อให้เด็กผ่อนคลาย อาทิเช่น กิจกรรมนั่งสมาธิ สวดมนต์ เบรนยิม (BBL) ร้องเพลง เต้น เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้จะให้เด็กนักเรียนเป็นคนจัดขึ้นมาเอง โดยให้ตัวแทนประธานนักเรียนเป็นผู้นำ คือ “น้องมุก” เด็กหญิงมุธิตา อมรใฝ่สุรีย์
“น้องมุก” เด็กหญิงมุธิตา อมรใฝ่สุรีย์
ปัจจุบัน “น้องมุก” เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นเด็กชนเผ่ากะเหรี่ยงตั้งแต่กำเนิด มีพี่น้อง 2 คน น้องมุกเป็นคนที่ 2 ครอบครัวประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป คุณแม่เป็นแม่บ้านที่อนามัย ส่วนพี่สาวทำงานปั้มน้ำมัน หน้าที่ของน้องมุกในโรงเรียนคือ เป็นผู้นำให้เพื่อนทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ วันไหว้ครู วันเด็ก หรือแม้กระทั่งตักอาหารให้กับเพื่อนๆ น้องๆ ในเวลากลางวัน
“น้องมุก” เล่าว่า การที่ได้มาเป็นประธานนักเรียนมันคือหน้าที่หนึ่งนอกจากการเรียนหนังสือที่จะต้องตั้งใจทำ เนื่องจากเป็นผู้นำคนอื่นให้ทำกิจกรรมต่างๆ และในกิจกรรมเราต้องพูดภาษาไทย ห้ามพูดภาษาบ้านเกิด เพื่อให้รุ่นน้องเรียนรู้ไปในตัว “สำหรับมุกวิชาภาษาไทยไม่ได้ยาก แต่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ เพราะภาษากะเหรี่ยงกับภาษาไทยแตกต่างกันมากทั้งตัวสะกด และคำคล้องจองต่างๆ วิชาที่มุกชอบมากที่สุดคือ คณิตศาสตร์ เพราะไม่ต้องใช้ภาษาไทยเป็นตัวหลักในการจำ แต่ส่วนใหญ่จะใช้ตัวเลขและสูตรต่างๆ ในการคิดคำนวณจึงทำให้เรียนรู้ได้ง่าย”
น้องมุก ยังเล่าต่ออีกว่า หลังจากที่เรียนจบชั้นป.6 แล้วจะไปเรียนต่อที่โรงเรียนสบเมยวิทยาคมในสายวิทย์ คณิต เนื่องจากน้องมุกมีความฝันว่าอยากทำอาชีพหมอในอนาคต “มุกอยากทำอาชีพหมอเพราะว่าชุมชนที่มุกอยู่ไม่มีความเจริญทางด้านการแพทย์ เพื่อนส่วนใหญ่ที่โรงเรียนชอบป่วยเป็นโรคมาลาเรีย อีกทั้งยังอยากกลับมาดูแลคุณพ่อคุณแม่เวลาท่านไม่สบาย” น้องมุก เล่า
ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร
ด้าน ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน กล่าวว่า หลังจากลงพื้นที่และประชุมหาข้อสรุปถึงปัญหาจำนวนบุคลากรไม่เพียงพอ คุณภาพของอุปกรณ์ทางการศึกษา การเข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ต เรือนพักนอนไม่เพียงพอ
ซึ่งจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้โดยการผลักดันให้โรงเรียนมีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง จัดสรรรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ไว้สำหรับขนอาหาร จัดตั้งให้แม่สะเรียงเป็นศูนย์กลางอบรมครู เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้เด็กนักเรียน ปลูกฝังให้เด็กใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 สร้างเครื่องปั่นไฟที่มีคุณภาพสูง เนื่องจากไฟฟ้าไม่เพียงพอ ต้องใช้เวลาชารจ์ประมาณ 2 ชั่วโมงจึงจะใช้ได้อีกครั้ง อีกทั้งยังจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือเด็กที่ไร้สัญชาติให้มีสิทธิเท่าเทียมกับเด็กทั่วไป
สำหรับข้อสรุปเหล่านี้ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจะนำไปเสนอต่อให้กับทางรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้เด็กนักเรียนในถิ่นทุรกันดารมีคุณภาพชีวิตเท่าเทียมกับเด็กในเมือง โดยเฉพาะโลกอินเตอร์เน็ตที่จะทำให้เด็กค้นหาข้อมูลได้กว้างมากขึ้นที่ห้องสมุดของโรงเรียนไม่มี เพื่อจะได้ยกระดับคะแนน O-Net ให้สูงระดับประเทศ ดร.บุญรักษ์ กล่าว