ไลฟ์สไตล์

รมว.สธ.ขอถาม"ค่าหมวกนิรภัยกับค่าหัวตัวเองอะไรแพงกว่า"?

รมว.สธ.ขอถาม"ค่าหมวกนิรภัยกับค่าหัวตัวเองอะไรแพงกว่า"?

01 ธ.ค. 2560

คนไทยไม่สนทำตามกฎหมายที่ช่วยป้องกันตัวเอง ทำยอดอุบัติเหตุสูง  10 ประเทศสมาชิกฮู-ซี ลงนามพันธสัญญาภูเก็ต ขับเคลื่อนความปลอดภัยบนถนน ลดตายกลุ่มเปราะบาง

       เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่โรงแรมฮิลตัน ภูเก็ต อาร์เคเดีย รีสอร์ท แอนด์สปา จ.ภูเก็ต ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) และดร. พูนาม เคทตราปาล ซิงห์ ผู้อำนวยการสำนักงานองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกเพื่อเร่งรัดการขับเคลื่อนทศวรรษแห่งความปลอดภัยบนท้องถนน (WHO - SEA Ministerial Meeting on Accelerating Actions for Implementation of Decade of Action for Road Safety) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29พฤศจิกายน  – 1 ธันวาคม 2560

       ซึ่งการประชุมนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญในวงการความปลอดภัยบนท้องถนนจำนวนกว่า 150 คน จาก 10 ประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก ได้แก่ บังคลาเทศ ภูฏาน เกาหลีเหนือ อินเดีย อินโดนีเซีย มัลดีฟ เมียนมาร์ เนปาล ศรีลังกา และไทย รวมถึงผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ยูนิเซฟ(UNICEF), ไจก้า(JICA )      

รมว.สธ.ขอถาม\"ค่าหมวกนิรภัยกับค่าหัวตัวเองอะไรแพงกว่า\"?

    ผลลัพธ์สำคัญของการประชุมคือพันธสัญญาภูเก็ต ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ ข้อแนะนำระดับนโยบาย 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.จัดลำดับสำคัญ 2.คำมั่นระดับสูง 3.ชักจูงสามัคคี 4.ต้องมีปัญญา 5.นำพากฎหมาย และ6.ร่วมใจมุ่งเป้า ซึ่งข้อสรุปสำคัญคือทุกประเทศจะร่วมมือกันและนำพันธสัญญาภูเก็ตไปเร่งรัดการดำเนิน โดยมุ่งเน้น ผู้ใช้ถนนกลุ่มเปราะบาง คือ ผู้ขับขี่จักรยานและจักรยานยนต์ คนเดินถนน ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบเป็นสัดส่วนสูง และเน้นความเข้าใจและการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากรักษาการบาดเจ็บในภาคสุขภาพ เป็นแค่ปลายทางของปัญหา การป้องกัน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน         

        สำหรับประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะให้ประชาชนไทยมีความปลอดภัยในการใช้รถ ใช้ถนน และมีสิทธิในการใช้ถนนอย่างเท่าเทียมกัน โดยจะเน้นการบูรณาการงานในทุกภาคส่วน พัฒนาถนนปลอดภัย เร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การดูแลมาตรฐานยานพาหนะ การดูแลรักษาผู้บาดเจ็บ เช่น นโยบายเจ็บป่วยวิกฤติ มีสิทธิ์ทุกที่ ภายใน 72 ชั่วโมง ทั้งนี้ในระยะ 3 ปีข้างหน้า  ประเทศไทยจะมุ่งเน้นการลดอัตราตายและบาดเจ็บในผู้ใช้ถนนกลุ่มเปราะบาง  และเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการทำงานโดยขยายรูปแบบการดำเนินงานในจังหวัดที่ดำเนินการได้ผลดี เช่น ภูเก็ต ขอนแก่น เชียงใหม่และอุดรธานี  

      รมว.สธ.ขอถาม\"ค่าหมวกนิรภัยกับค่าหัวตัวเองอะไรแพงกว่า\"?

ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร

     "ในประเทศไทยอุบัติเหตุทางถนน 80% เกิดจากการขับขี่รถจักรยายนต์ ซึ่งหากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และรถยนต์ ทำตามกฎหมายด้วยการสวมหมวกนิรภัยและคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่ขับขี่ จากการบาดเจ็บรุนแรงหากเกิดอุบัติเหตุได้ถึง 1ใน3 ตอนนี้ไทยมีกฎหมายสวมหมวกนิรภัย แต่บังคับใช้ได้สูงสุดในจ.ภูเก็ต ที่ 60% อยากให้คนไทยให้ความสำคัญเรื่องนี้ ต้องถามว่าค่าหมวกนิรภัยกับค่าหัวของตัวเองอะไรแพงกว่า และขอให้นึกไว้เสมอว่าวินาทีเดียวเท่านั้นเกิดความสูญเสียได้และเปลี่ยนทั้งชีวิตแบบไม่หวนกลับคืน ในการขับขี่รถ ต้องมีสติ รอบคอบ ไม่ประมาท ต้องสวมหมวกฯ คาดเข็มขัดฯ ให้ความรู้บุตรหลานการขับขี่อย่างปลอดภัย ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ และใส่ใจทำตามกฎหมายต่างๆที่สร้างความปลอดภัยให้ตนเอง"ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว    

      ดร.พูมาน เคทตราปาล ซิงค์ ผู้อำนวยการฮู-ซี กล่าวว่า ปัญหาความปลอดภัยทางถนนเป็นเรื่องท้าทายมากของภูมิภาคนี้ เพราะมีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนถึง 865 รายต่อวัน ขณะที่ประชากรทั้งหมดในภูมิภาคคิดเป็น 1ใน 4 ของประชากรโลก หากสามารถลดปัญหาในภูมิภาคนี้ได้ ก็จะลดปัญหาของโลกได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ เมื่อมีพันสัญญาภูเก็ต แต่ละประเทศจะเน้นดำเนินการในกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้ถนน ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และรถยนต์ โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ใช้ความเร็วมาก หรือดื่มน้ำเมาหรือใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ จนต้องบาดเจ็บและตายทั้งที่ยังวัยรุ่น    

      อนึ่ง สถิติขององค์การอนามัยโลกพบผู้เสียชีวิตจากการบาดเจ็บจากการจราจรบนท้องถนนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกฉียงใต้ปีละประมาณ 316,000 คน คิดเป็นร้อยละ 25 ของการเสียชีวิตบนท้องถนนทั่วโลก ส่วนประเทศไทย เสียชีวิตมากถึงปีละ 22,000-24,000 คน  นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บประมาณเกือบ 1 ล้านคน นอนรักษาตัวโรงพยาบาลประมาณ 2 แสนคนต่อปี และมีผู้พิการอีกปีละกว่า 7,000 คน คิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี