ไลฟ์สไตล์

"เด็กดี"ต้องเชื่อฟังครู ???

"เด็กดี"ต้องเชื่อฟังครู ???

27 ก.ย. 2560

“เด็กนักเรียนไทยคิดว่าการถามครูเป็นเรื่องน่าอายหรือเด็กดีต้องเชื่อฟังครู” เป็นทัศนคติทางการศึกษาที่ต้องเร่งปรับแก้ เพราะเป็นปัญหาต่อการพัฒนาการศึกษาไทย

       ในมุมมองของทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศ จากโครงการ Redesigning Thailand #4 “เปิดแคมป์จับระบบการศึกษามาปรับทัศนคติ ซึ่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)เชิญชวนนิสิตนักศึกษาออกแบบนโยบายเพื่อพัฒนาการศึกษาไทย ไปติดตามรายละเอียดกับ 0 พวงชมพู ประเสริฐ รายงาน 0 

        ทีมชนะเลิศ ประกอบด้วย นำเสนอเรื่อง ทัศนคติ เด็กดีต้องเชื่อฟังครู ประกอบด้วยนายสิรภพ ลู่โรจน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ น.ส.วรลักษณ์ ภักตร์อำไพ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายพงศรากร ปาแก้ว คณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

\"เด็กดี\"ต้องเชื่อฟังครู ???

   “จากงานวิจัยพบว่า 86 %ของนักเรียนไทยไม่กล้ายกมือถามครู มากเป็นอันดับ6 ของโลกที่นักเรียนไม่กล้าถามครู สาเหตุสำคัญที่เด็กไม่กล้าถาม เกิดขึ้นจากบรรยากาศในห้องเรียนที่มี 3 องค์ประกอบ คือ ครู นักเรียน และเพื่อนร่วมชั้น” น.ส.วรลักษณ์ เปิดฉากถึงที่มาของปัญหา

   น.ส.วรลักษณ์ ขยายความต่อว่า ทัศนคติของ 3 องค์ประกอบดังกล่าว ส่งผลโดยตรงต่อทัศนคติตัวนักเรียน โดยครูมีทัศนคติที่ว่าเรามีอำนาจสูงสุดในห้องเรียน เป็นอำนาจนิยม เราตัดสินถูกผิดโดยใช้เกณฑ์ของตนเองเป็นหลัก เพื่อนร่วมชั้นมีทัศนคติที่ว่าการยกมือถามในห้องเป็นการอวดรู้ โชว์ฉลาด เป็นการรบกวน

     ทำให้ตัวนักเรียนมีทัศนคติที่ว่าการยกมือถามคือแตกแยก อาย ไม่กล้าถาม ทัศนคติเหล่านี้ส่งผลให้นักเรียนขาดความมั่นใจในตนเอง และส่งผลต่อการศึกษา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การเรียนภาษาอังกฤษ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเด็กไทยไม่กล้าถาม อาย ขาดความมั่นใจ

       ทัศนคติเหล่านี้ทำให้การเรียนการสอนของประเทศไทย ไม่พัฒนา หยุดนิ่ง และไร้ประสิทธิภาพ!

   นายพงศรากร เพิ่มเติมว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะปรับส่วนอื่นๆอย่างไร ถ้าส่วนล่างหรือนักเรียนยังไม่พร้อมเปิดรับการเรียนรู้ ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สัมฤทธิ์ผล

\"เด็กดี\"ต้องเชื่อฟังครู ???

       ทีมมองว่าแนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ คือ “Drama in Education หรือ ละครเพื่อการศึกษา” เน้นที่กระบวนการ คือ การร่วมมือและมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างครูกับนักเรียน และเพื่อนนักเรียนในห้องเรียน

      ซึ่งจะทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์มีตรรกะในการคิด พังกำแพงระหว่างกัน เมื่อจะซักถาม มีส่วนร่วมเรื่องใดในห้อง นักเรียนจะมีความมั่นใจในตนเอง มีความภาคภูมิใจ เมื่อนักเรียนมีความเชื่อมั่นในการเปิดรับสิ่งต่างๆ แน่นอนการเรียนรู้ก็จะมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญแนวทางนี้สามารถนำไปปรับเพิ่มเป็นวิชาใหม่ หรือบูรณาการในวิชาต่างๆได้ ไม่เสียงบประมาณเพิ่มขึ้นมาก

   นายสิรภพ บอกว่า การนำแนวทางนี้มาสู่การปฏิบัติสามารถทำได้จริง โดยเสนอนโยบายเชิงรูปธรรม 2 ส่วน เน้นไปที่นักเรียนในระดับยชั้นประถมศึกษา เนื่องจากเป็นระดับที่สามารถซึมซับสภาพแวดล้อม เรียนรู้สิ่งต่างๆได้ง่าย บวกกับการเรียนการสอนยังไม่เน้นวิชาการมากจนไม่มีเวลาเรียนรู้อย่างอื่น

\"เด็กดี\"ต้องเชื่อฟังครู ???

      ประกอบด้วย 1.ระดับประถมฯ1-3 จัดการเรียน Drama Education ซึ่งเป็นการเรียนเจาะจงไปทางด้านการเรียนดราม่าหรือละครโดยตรง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เด็กยังเปิดรับ ยังกล้าแสดงออก ยังไม่รู้ว่าค่านิยมของสังคมคืออะไร รูปแบบจะเป็นลักษณะการบอกโจทย์ให้เด็กร่วมกันคิดและออกมาแสดงหน้าชั้นเรียน เช่น โจทย์เกี่ยวกับความรัก ก็ให้เด็กร่วมกันคิดตีความว่าจะสื่อเรื่องความรักออกมาแบบไหน ผ่านละครที่จะถ่ายทอด เป็นต้น

    และ2.ระดับชั้นประถมฯ4-6 จะนำดราม่าไปบูรณาการเข้ากับวิชาอื่น โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทยและสังคมศึกษา นอกจากนี้ ในระดับมัธยมศึกษาก็จะยังบูรณาการร่วมกับวิชาอื่นๆ แต่รูปแบบการนำเสนออาจจะไม่ใช่การแสดงละคร เป็นเป็นการระดมความคิดเห็นหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและกัน เพื่อให้เหมาะสมตามช่วงวัย

        ทั้งหมดนี้จะทำให้เด็กกล้าแสดงออก ผลพลอยได้จากกระบวนการดราม่านี้ ทำให้เด็กมีทักษะในการคิดเชิงวิพากษ์(Critical Thinking Skill) สามารถตั้งคำถามขึ้นได้ ส่งผลต่อการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆในอนาคต

      “การปรับทัศนคติของตัวเด็กเองคือรากฐานของการศึกษาไทย คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องอย่ามองข้าม มันเป็นจุดเล็กที่สุดที่ไม่เคนนึกถึง แต่จุดเล็กก็สามารถสร้างผลกระทบที่ใหญ่ขึ้นในวงกว้างได้ในอนาคต ที่สำคัญ คือ ต้องให้เด็กมีความสุขในการเรียนรู้” นายสิรภพฝากให้คิด

      การจะดำเนินการตามแนวทางนี้ ครู และกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ต้องเปลี่ยน โดยครู เปลี่ยนการฝึกอบรมครูให้มาเรียนรู้ในเรื่อง Drama Education อาจเริ่มจากวงแคบๆและค่อยขยายผล

     ส่วนศธ.อาจต้องปรับเปลี่ยนหลักสูตรในระดับประถมศึกษา อาจเพิ่มให้ Drama Education เป็นรายวิชาใหม่ ในระดับป.1-3 และกำหนดให้บูรณาการหลักสูตรในระดับป.4-6

      อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการตัดสินหยั่งเชิงตั้งคำถามต่อการนำเสนอของทีมนี้ว่า “แค่นิสิตบางคนที่มั่นใจและกล้าแสดงออกมากๆก็ยุ่งแล้ว จุฬาฯปั่นป่วนหมดแล้ว ถ้าจัดDrama Education จะไม่ทำให้เกิดเด็กไทยแบบนี้เต็มไปหมด ไม่ยิ่งยุ่งหรือ?”

      นายสิรภพ ตอบว่า การที่ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนที่แสดงออกในบางลักษณะจนวุ่นวาย เป็นเพราะสังคมไทยสอนเด็กมาตลอดว่า ห้ามแสดงความคิดเห็น

\"เด็กดี\"ต้องเชื่อฟังครู ???

      ขณะที่เด็กฝรั่งได้เรียนรู้ว่าเขามีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็น สิ่งที่ถูก สิ่งที่ทำได้ แต่เมืองไทยเด็กยังไม่เคยชินกับการแสดงความคิดเห็น จึงตีความไปว่าการแสดงความคิดเห็นคือการแหกกฎ

     ดังนั้น หากสามารถแนะแนวการแสดงความคิดเห็นตั้งแต่เด็ก เชื่อว่าจะทำให้เด็กไทยกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสม 

    ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ปัจจุบันทุกคนเห็นตรงกันว่าการศึกษาไทยมีปัญหา แต่การปฏิรูปการศึกษายังไม่ได้ผล เนื่องจากยังคิดและเข้าใจไม่ตรงกันว่า ตรงจุดไหนคือปัญหา อย่างเช่น หากจะปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบ Active Learningหรือการเรียนรู็แ้บบลงมือทำ

     ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกหลายประเทศดำเนินการแล้ว แต่เมื่อนำมาใช้ในประเทศไทย ก็จะมีคำถามจากผู้ปกครองตามมามากมายว่า จะทำให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่ เป็นต้น 

     เมื่อรู้ว่าโลกกำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว มีเทคโนโลยีปัญหาประดิษฐ์ ทำให้ทักษะที่คนมีอยู่แบบในอดีตที่เพียงพอในการเลี้ยงชีพได้ตลอดชีวิต ไม่เป็นจริงอีกต่อไป

    เพราะฉะนั้น จึงต้องมีทักษะสำหรับศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่มีความรู้ แต่ต้องมี 3 ตัว คือ ทัศนคติ(Attitude)ที่ถูกต้อง มีทักษะ(Skill)ที่ใช้งานได้จริง และมีองค์ความรู้(knowledge)

     ซึ่งการศึกษาไม่ใช่มีความรู้ถ่ายทอดผ่านท่อจากครูไปนักเรียนเท่่านั้น  แต่ผู้ที่จะอยู่รอดต้องเป็นผู้ที่มีทัศนคติและทักษะที่ถูก เพราะฉะนั้น โจทย์สำคัญ คือ การศึกษาจะสร้างคนที่มีทักษะศตวรรษที่ 21ได้จะต้องทำอย่างไร  

     “โครงการนี้จึงเป็นการรับฟังความคิดจากคนรุ่นใหม่ว่าทัศนคติของคนไทยในเรื่องใดที่จะต้องปรับเปลี่ยนและต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้การศึกษาไทยมีการพัฒนา ซึ่งล้วนเป็นแนวคิดที่ดีทั้งสิ้น จึงอยากเชิญชวนนิสิตนักศึกษา คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมกับทีดีอาร์ไอและภาคส่วนต่างๆในการปฏิรูปการศึกษา” ดร.สมเกียรติกล่าว  

       ทัศนคติที่นิสิตนักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายจากทีดีอาร์ไอ มองว่าต้อมีการปรับ ใน 6 เรื่อง ได้แก่ 1.ทัศนคติ การศึกษาที่ดีมาจากอำนาจและการรวมศูนย์ ของนักศึกษาจากคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สาขามีเดีย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และคณะวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์กำลัง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

      2.ทัศนคติการบริหารจัดการศึกษาที่ดีมาจากส่วนกลาง จากนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3. ทัศนคติต่อการเรียนอาชีวะ ทีมจากคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4.ทัศนคติเรียนไปก็ไม่ได้ใช้ทีมจากคณะเศรษฐศาสตร์ และคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 5.ทัศนคติครูคือผู้นำของการเรียนรู้ในห้องเรียนทีมจากคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ6.ทัศนคติเด็กดีต้องเชื่อฟังครู ทีมจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหา