เริ่มที่ความคิด "เด็กตีกัน" จบได้
เด็กตีกัน ทะเลาะวิวาท ไล่ฟัน ไล่ยิง ความซ้ำซาก ที่หลายๆเหตุการณ์กลายเป็นโศกนาฏกรรม สูญเสียทั้งตัวคนก่อเหตุ ร้ายกว่านั้นชีวิตของผู้บริสุทธิตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
...ที่ผ่านมามีความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เจ้าหน้าที่ตำรวจ เครือข่ายต่างๆ งัดสารพัด สารพันมาตรการเพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียน นักศึกษา ความเข้มข้นของมาตรการต่างๆ ที่กำหนดขึ้นจะเป็นไปตามความร้ายแรงของการก่อเหตุในช่วงนั้นๆ
ดังเช่นกรณี 2 สถาบันอุดมศึกษาคู่อริ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย กับสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน (สปท.) ถือเป็นรุ่นพี่ใหญ่เติบโตมาจากเด็กช่างอาชีวะ ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกันบริเวณสกายวอล์คของห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านปทุมวัน มีทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ทิ้งเวลาไม่นานฝ่ายบริหาร “จรูญ ชูลาภ” นายกสภา สปท.รับประสานฝ่ายตำรวจ “พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ฝ่ายและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องมาวางแผนสกัดปัญหา กำหนดจุดพื้นที่ “เรดโซน” ที่ห้ามขาดไม่ให้นักศึกษา 2 สถาบันเข้าไป ห้ามสวมชุดช็อป สัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นตราสัญลักษณ์ที่สุ่มเสี่ยงก่อให้เกิดการยั่วยุ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจารย์เฝ้าระวังในจุดเสี่ยงต่างๆ ระยะยาวลดความหวาดระแวงของนักศึกษาทั้ง 2 สถาบัน และส่งเสริมให้ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้เกิดความสามัคคีระหว่างนักศึกษา 2 สถาบันประจำทุกเดือน
อย่างไรก็ดี แม้ต้นสังกัดจะพยายามหามาตรการออกมาแก้ไข แต่เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมาอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “ร.ต.ประพาส ลิมปะพันธ์” ได้ทำหนังสือเสนอแนวทางการแก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักศึกษา 2 สถาบันอย่างยั่งยืนถึง ม.ล.ปนัดดา ดิสกุล รมช.ศึกษาธิการ ระบุให้งดรับนักศึกษาปี 1 ของทุกระดับการศึกษา ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นไปหรือเร็วที่สุดที่สามารถดำเนินการได้
ยังเสนอให้ ย้าย ครู อาจารย์ และบุคลากรของ 2 สถาบันที่เกินความจำเป็น ไปสอนระดับชั้นปีที่ยังคงเปิดการเรียนการสอนอยู่ หรือให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในสถาบันการศึกษาอื่นที่ต้องการบุคลากรเพิ่ม และโยกย้ายต่อเนื่องจนกว่าสิ้นสุดบัณฑิตรุ่นสุดท้ายของสถาบัน ระยะเวลาไม่เกิน 4 ปีการศึกษา หรืออาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อยก็สิ้นสุดบัณฑิตของทั้ง 2 สถาบัน จะไม่มีนักศึกษาที่จบจากสถาบันทั้ง 2 แห่งนี้อีก อาคารสถานที่ก็นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
เมื่อไร้คนเรียน..ก็หมายความว่า สถาบันก็ต้องปิดตัวลง??
ทว่า..ปลายทางการแก้ปัญหา “เด็กตีกัน” จะหมดไปหรือไม่ ยังไม่มีใครกล้าการันตี และเมื่อย้อนมองดูมาตรการต่างๆที่ปรากฎออกมา โดยเฉพาะ “คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 30/2559 เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียน นักศึกษา ลงวันที่ 21 มิ.ย.2559” เป็น “ยาแรง” ขนานหนึ่งเพราะเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่รัฐกักตัวเด็ก หากพบว่ามีพฤติกรรมเสี่ยงจะไปก่อเหตุ หรือไปก่อเหตุมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง กำหนดให้พ่อแม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เมื่อลูกของตนไปก่อเหตุ ทั้งคำสั่ง คสช.ฉบับนี้ทุกหน่วยงาน สถานศึกษา จะต้องนำไปสู่การกำหนดมาตรการต่างๆด้วย
"ทวีศักดิ์ คิ้วทอง" ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ กล่าวว่า ในอดีตพื้นที่สมุทรปราการมีปัญหาทะเลาะวิวาทต่อเนื่อง ซึ่งวท.สมุทรปราการ อยู่ในกลุ่มสวนหลวงร. 9 ซึ่งเป็น 1ใน 6 กลุ่มวิทยาลัยกลุ่มเสี่ยงที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดกลุ่มไว้อีก 5 กลุ่มคือ กลุ่มมีนบุรี กลุ่มอนุสรณ์สถาน(ดอนเมือง) กลุ่มกรุงเก่า (โซนพื้นที่อยุธยา) กลุ่มชัยสมรภูมิ และกลุ่มธนบุรี (ฝั่งธนบุรี บางบอน สมุทรปราการ และนครปฐม) ซึ่งทุกกลุ่มต้องปฏิบัติตามมาตรการกลางของ สอศ. คือ ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจจุดเสี่ยงที่เด็กจะรวมตัวกัน เฝ้าระวังติดตามข่าวสาร ประสานสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่ช่วยเป็นหูเป็นตา ทำความเข้าใจและร่วมมือกับศิษย์เก่าฯ ขึ้นบัญชีดำรุ่นพี่ ศิษย์เก่าที่เป็นหัวโจกในการก่อเหตุ มีการตรวจค้นอาวธุ เป็นต้น
ทวีศักดิ์ คิ้วทอง
นอกจากนี้ ยังมีการจัดอบรมให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่นักเรียน นักศึกษา ผ่านกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น Fix it Center ให้บริการประชาชน กิจกรรมทางศาสนาเพื่ออบรมกล่อมเกลาจิตใจเด็ก โครงการเรียนทวิภาคีรูปแบบพิเศษที่ร่วมมือกับสถานประกอบการ นำเด็กนักเรียนระดับประกาศนียบัติวิชาชีพชั้นปีที่ 2 สาขาช่างอุตสาหกรรม ช่างไฟฟ้า ฯลฯ ได้ไปเรียนรู้จริงในสถานประกอบการ
ตรงนี้ช่วยให้เด็กไม่เข้าไปเสี่ยงในจุดล่อแหลม เป้าหมายสำคัญคือ เด็กได้มองเห็นภาพอนาคตตัวเองชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมายังมีโครงการเตรียมความพร้อมอาชีวศึกษา (พรี-อาชีวะ) ที่นำเด็กนักศึกษาปีที่ 1 มาเข้าค่ายทำกิจกรรมร่วมกันที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือ เพื่อสร้างความรักความสามัคคีร่วมกัน โครงการนี้ทำมาต่อเนื่อง 3 ปีแล้ว
ทวีศักดิ์ กล่าวด้วยว่า มาตรการต่างๆของ สอศ.และมาตรการของหัวหน้า คสช.เป็นมาตรการที่ดี ซึ่งแต่ละวิทยาลัยต้องนำไปปรับสู่การปฏิบัติ ทำงานเชิงรุกทั้งในงานปกครอง ซึ่งของวท.สมุทรปราการ ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมาใช้หลัก ปะ ฉะ ดะ ภายใต้สมุทรปราการโมเดล เป็นการร่วมมือกับทุกฝ่ายตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศิษย์เก่า ชุมชน ผู้ปกครอง คิดวิเคราะห์ ดูจุดเสี่ยงวางแผนร่วมกัน มีการเฝ้าระวัง ติดตามข่าวสารเมื่อรู้ก็ต้องรีบเข้าสกัดไม่ให้เกิดเหตุ จุดอันตรายเก็บอาวุธต้องไม่มี โดยตรวจตราเข้มงวดตลอดภาคเรียน
ซึ่งแนวทางนี้ช่วยลดปัญหาทะเลาะวิวาทของเด็กในพื้นที่ไปได้มาก และได้มีการขยายผลครอบคลุมไป 17 จุดในจ.สมุทรปราการ ขณะเดียวกัน ก็จะหาพื้นที่กิจกรรมให้เด็กได้แสดงพลังในทางที่ถูกต้อง นำพาทำกิจกรรมที่เกิดประโยชน์กับส่วนรวม ทำบ่อยๆต่อเนื่องเพื่อปลูกฝังสิ่งดีๆให้เด็ก
“ต้องตัดทุกโอกาสที่จะนำไปสู่การก่อเหตุ การแก้ไขปัญหาเด็กทะเลาะวิวาทต้องทำงานเชิงรุก เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา และทำต่อเนื่อง เชื่อว่าวันหนึ่งวัฒนธรรมผิดๆ เรื่องตีกันรับน้อง การล้างแค้นจะแก้ไขได้ แต่ถ้าคิดว่าแก้ไขไม่ได้ ก็จะแพ้ตั้งแต่ตอนเริ่มคิดแล้ว”ทวีศักดิ์ กล่าวย้ำ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเด็กตีกันทะเลาะวิวาท อาจจะต้องใช้เวลาในการแก้ไขอีกยาวนาน ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบให้ชัดเจนว่า ตีกันเพราะอะไร การขัดแย้งส่วนตัว การเหมารวมสถาบัน การย้ายสถาบันที่สุดแล้วอาจก็ไม่แก้ไขความคิด ความเชื่อได้ แต่ควรสร้างความเข้าใจ หาคนประสานรอยร้าว สร้างความปรารถนาดีต่อกัน เพราะหากปิดสถาบันไปมองในภาพรวมก็จะเกิดผลกระทบในภาพใหญ่ ตัวนักเรียน นักศึกษา ครูบุคลากร และสถานประกอบการที่ต้องการกำลังคนในการพัฒนาประเทศ.
0 เกศกาญจน์ บุญเพ็ญ 0