ไลฟ์สไตล์

 “เมื่อถูกจับ รุ่นพี่ก็ซัดทอดเรา” ความจริงจากปากเด็กช่าง

“เมื่อถูกจับ รุ่นพี่ก็ซัดทอดเรา” ความจริงจากปากเด็กช่าง

01 ก.ย. 2560

ถอดบทเรียนความรุนแรง“เด็กช่าง” ปัญหาที่ยังซุกไว้ใต้พรหม แนะ เปิดพื้นที่สร้างสรรค์ เปลี่ยนพลังลบเป็นบวก อดีตเด็กอาชีวะที่เคยก้าวพลาด เตือนสติอย่าคึกคะนอง

      เมื่อวันที่ 1กันยายน 2560 เวลา 10.00 น.ที่โรงแรมเอเชีย ในเวทีเสวนา...ถอดบทเรียน ความรุนแรง “เด็กช่าง”สร้างโอกาสก่อนวิกฤต จัดโดยเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

     นายเอ นามสมมุติ อดีตนักศึกษาอาชีวะ เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า เคยก้าวพลาดทำผิดในรั้วอาชีวะในวัยแค่17ปี ทั้งชกต่อย ละเลาะวิวาทบ่อยครั้ง และเหตุการณ์ที่ทำให้เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต คือ ร่วมกับรุ่นพี่และเพื่อน ก่อเหตุปาระเบิดใส่คู่อริต่างสถาบัน เสียชีวิต1ราย บาดเจ็บอีก ยี่สิบกว่าราย หลังก่อเหตุได้หลบหนี แต่ก็ไปไม่รอดต้องรับโทษ ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ใช้ชีวิตในสถานพินิจ 6 ปี

     “แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนลงมือ แต่ผมก็ถูกรุ่นพี่ซัดทอด เพราะอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกัน จำได้ว่าตอนเข้าเรียนใหม่ๆ รุ่นพี่สั่งอะไรก็ต้องทำตาม รุ่นพี่ปลูกฝังวัฒนธรรมให้เกลียดก็ต้องเกลียด ต้องทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข หากย้อนเวลากลับไปได้ผมจะมีสติกว่านี้ ไม่คึกคะนอง ไม่มองว่าสิ่งที่ทำมันเท่ห์มันเก๋า อยากใช้บทเรียนตรงนี้ เตือนสติเพื่อนอาชีวะให้คิดถึงตัวเอง คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงอนาคต ต้องรักตัวเอง จะทำอะไรต้องไม่พาตัวเองไปอยู่กับปัญหา อย่าลืมว่าทุกครั้งที่ตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไร ย่อมมีผลต่อตัวเองและคนรอบข้าง และผมอยากให้สังคมให้โอกาส ไม่ซ้ำเติมคนอาชีวะให้แย่ไปกว่านี้ ที่สำคัญอยากเห็นทุกฝ่ายแก้ปัญหาให้ตรงจุด จริงจังและต่อเนื่อง” นายเอ กล่าว

       นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายภาคส่วนหาแนวทางป้องกันและแก้ปัญหาเด็กตีกัน ใช้ยาแรงสาพัด รวมถึงคำสั่ง คสช.ตามมาตรา44 แต่ก็ไม่เป็นผล สังคมกดดันให้เด็กช่างกลับเข้าสู่วังวนเดิม ส่วนวิธีแก้ปัญหากลับกลายเป็นซ้ำเติม เช่น เปลี่ยนให้เด็กโรงเรียนคู่อริมาจับมือกันถ่ายรูปออกสื่อ,เปลี่ยนเครื่องแบบ ,ปิดโรงเรียนชั่วคราว หรือถึงขั้นเปลี่ยนชื่อ โรงเรียน(อาชีวะ) ให้เป็นวิทยาลัย หรือยกระดับประกาศนียบัตร เป็นปริญญา ไปจนถึงสั่งปิด สั่งย้ายสถานที่ฯลฯ ขณะเดียวกัน ข่าวที่ปรากฏในทางลบ ถูกพาดหัว ถูกเพจดังต่างๆ เติมแต่งด้วยความรุนแรงเพื่อเรียกเรทติ้ง ไม่ต่างจากการโหมไฟให้แรงขึ้น โดยหลงเหลือพื้นที่ความเข้าใจน้อยมาก

      นางทิชา กล่าวอีกว่า มุมมองทางสังคม ค่านิยม ที่ตัดสินเด็กช่างถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่การทำความดี ทำกิจกรรมเพื่อสังคมกลับมีพื้นที่น้อยมาก ยุคที่คนเสพสื่อโซเชียลแบบเด็ดยอด มาตัดสิน พิพากษา โดยลืมไปว่าในหนึ่งคลิ๊ก หนึ่งเม้น หนึ่งแชร์นั้น คุณได้มีส่วนร่วมตีตรา กดทับ ให้ปัญหาบานปลายลุกลาม ทั้งนี้ปัญหาอมตะของเด็กช่าง คือ 1.เด็กไทยกลุ่มหนึ่งถูกกระทำให้ไม่มีอัตลักษณ์หรือตัวตนตามที่อยากจะเป็น ตัวตนที่พอใจจะเป็น ฉะนั้น“ทางลัด” ในการสร้างอัตลักษณ์ คือ การเข้าไปอยู่ในสังคม ในสถาบันที่มีอัตลักษณ์ที่ตัวเองชอบ ตัวเองพอใจโดยเฉพาะในช่วงที่เป็นวัยรุ่น ที่อยู่ในช่วง “อยากโต อยากโชว์ อยากช่วย อยากได้รับการยอมรับ” การเป็นเด็กช่าง เด็กแว้น ฯลฯ ก็เป็นการแสวงหาพื้นที่ตามแรงขับข้างในตามวัย

         2.เพราะการเข้าไปในสถาบันอาชีวะของเด็กกลุ่มหนึ่งคือ การแสวงหาอัตลักษณ์ แสวงหาตัวตนในแบบที่อยากเป็น ดังนั้นวัยรุ่นที่ตัดสินใจทางเลือก ทางลัดนี้จึงพร้อมรับการชี้นำ การชักจูงของรุ่นพี่อย่างศิโรราบ หรือ จะเรียกว่าพร้อม“พลีชีพ” เพื่อคนที่รู้จักเพียงไม่กี่วันซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็พลาดไปแล้ว 3.“สื่อ” ช่วยทำให้ภารกิจ “พลีชีพ” ที่เกิดจากการเลือก “ทางลัด” เพื่อเข้าถึงอัตลักษณ์ของวัยรุ่นประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการเป็นข่าวช่วยหนุนเสริม เชื่อมต่อ จากรุ่นต่อรุ่นอย่างแข็งแรง และ4.ผู้รับผิดชอบใน สถาบันที่เป็นคู่ขัดแย้งไม่ร่วมแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แต่แก้แบกอีเว้นท์หรือเฉพาะหน้า

     “ทางออกของปัญหา คือต้องปลุกพลังสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในคุณค่าของตัวเอง คุณค่าของคนอาชีวะ เปิดพื้นที่แสดงออกในทางสร้างสรรค์ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องระมัดระวัง ในการสื่อสารและไม่นำเสนอปัญหาที่ไม่สร้างสรรค์ กลายเป็นการสุมไฟ หรืออาจจะกลายเป็นระเบิดเวลาในอนาคต อีกทั้งต้องเพิ่มพื้นที่การเรียนวิชาชีวิตหรือการคิด วิเคราะห์ข่าว บทความ ภาพยนตร์ ในห้องเรียนอย่างจริงจัง และสนับสนุนเด็กช่างทำกิจกรรมจิตอาสาในรูปแบบต่างๆและขอความร่วมมือสื่อช่วยเผยแพร่กิจกรรมเชิงบวกนี้อย่างต่อเนื่อง” นางทิชา กล่าว

    นายปัณณวิชญ์ คงศิลปะ ประธานสภาศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย กล่าวว่า สื่อไม่ได้นำเสนอมุม ที่อุเทนถวายทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม เช่น ซ่อมแซม สร้างโรงเรียนน้ำท่วม ปลูกป่า ทำฝาย ช่วยเหลือชาวบ้านตามถิ่นทุรกันดาล ขาดแคลน ยากจน ซึ่งพวกเราทำมาอย่างต่อเนื่อง แต่พอมีเหตุการณ์รุนแรง ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น สื่อเลือกที่จะนำเสนอ นำไปขยายผลออกข่าวไม่หยุด และเกิดการกระหน่ำแชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลด้านเดียว เด็กช่างไม่ใช่แค่อุเทนที่ต้องถูกตีตราว่าเป็นคนไม่ดี ชอบสร้างปัญหา ขณะที่พวกเราสร้างการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ปลูกฝังให้น้องทำความดี ยึดสันติวิธี เปลี่ยนพลังลบให้เป็นพลังบวกและพยายามเปิดพื้นที่ทำกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์ ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ หากสังเกตดีๆจะเห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงลดลง และแม้ว่ามันจะเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือไม่ได้ แต่มันก็มีความพยายามและตั้งใจที่จะเปลี่ยน