
รถตู้-สองแถวหรือรถรับส่งนักเรียน??
ปัจจุบันรถที่นำมาใช้รับ-ส่งนักเรียนมีทั้งรถตู้และรถสองแถว การใช้งานจะแตกต่างไปตามสภาพพื้นที่ ถ้าทำประกันชั้น1 เข้มงวดความปลอดภัย อุบัติจะลดลงหรือไม่ต้องติดตาม
เด็กยืนโหนท้ายรถ ที่มีภาพปรากฎให้เห็นอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะในต่างจังหวัดพฤติกรรมดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อตัวเด็กและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ หน่วยงานที่เกี่ยวต้อง ต้องเข้มงวดกวดขัน เพื่อให้เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นน้อยที่สุด ไปติดตามรายละเอียดได้กับ “เกศกาญจน์ บุญเพ็ญ” ทีมข่าวคุณภาพชีวิต คมชัดลึกออนไลน์ [email protected]
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่าได้เน้นย้ำให้สถานศึกษาทุกสังกัด ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ก่อนเปิดเทอมทุกโรงเรียนจะมีการซักซ้อมมาตรการความปลอดภัย เช่น มีครูประจำหน้าประตูโรงเรียน คนรถรับ-ส่งต้องมีใบอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการควบคุมดูแลการใช้รถโรงเรียน พ.ศ.2536 และระเบียบกรมการขนส่งทางบก ว่าด้วยการขออนุญาตและการอนุญาตให้ใช้รถในการรับจ้างรับส่งนักเรียน พ.ศ.2547ถือเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย
ข้อปฏิบัติของผู้ให้บริการขับรถ-รับส่งนักเรียน ตลอดจนสภาพรถที่นำมาให้บริการ กรมการขนส่งทางบกจะเป็นกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย ระเบียบของ ศธ.จะเป็นหลักเกณฑ์กลางที่ทุกโรงเรียนยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
ซึ่งจะกำหนดไว้ เช่น การควบคุมดูแลความปลอดภัย มีแผ่นป้ายติดข้อความ “รถโรงเรียน” จัดทำทะเบียนรถโรงเรียน ทะเบียนประวัติของพนักงานขับรถ ตลอดจนรายงานผลการใช้รถโรงเรียนต่อต้นสังกัดภาคเรียนละ 1 ครั้ง เป็นต้น
โรงเรียนบ้านควนประชาสรรค์ ต.กุแหระ อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช มีนักเรียนประมาณ 300 คนและเมื่อปีการศึกษา 2559 มีนักเรียนจากโรงเรียนวัดคงคาเลียบ มาเรียนรวมด้วย 12 คน ใช้วิธีการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการและให้พ่อแม่ร่วมกันสอดส่องดูแลลูกหลาน
สุทิน บุษบา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านควนประชาสรรค์ เล่าว่ารถนักเรียนมีอยู่ 2 คัน ระยะทาง 3-6 กิโลเมตร และระยะทาง 5-10 กิโลเมตร พ่อแม่ ผู้ปกครอง จ่ายค่ารถรับจ้างเอกชน ที่นำรถกระบะติดตั้งหลังคา มีเบาะนั่ง 3 แถว และทำประกันชั้น 1 เอง
ส่วนโรงเรียนมีครูประจำอยู่ที่ประตูโรงเรียนคอยดูแลให้เด็กเข้าเรียนในตอนเช้า ส่วนตอนเย็น ให้นั่งครบเต็มตามที่นั่ง ไม่ให้มีการยืน หรือ โหนท้ายรถ ซึ่งอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติได้ ประชุมร่วมกับผู้ปกครอง สร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือช่วยกันดูแลลูกหลาน เช่น ถ้าคนขับรถบอกว่าเด็กเล่นกันบนรถ ในลักษณะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ พ่อแม่ต้องตักเตือน ห้ามปรามด้วย
ทั้งนี้การขออนุญาตนำรถไปรับจ้างรับส่งนักเรียน ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของกรมการขนส่งทางบกดังนี้
1.ยื่นคำขอตามแบบที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด
2.ต้องเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน7คน แต่ไม่เกินสิบสองคน (รย.2)ตามกฎหมาย ว่าด้วยรถยนต์ ต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถ
3.มีอุปกรณ์สำหรับรถครบถ้วนถูกต้อง ไม่ค้างภาษีประจำปี มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย
-แผ่นป้ายพื้นสีส้มขนาดกว้างไม่น้อยกว่า25ซม. ยาวไม่น้อยกว่า60ซม.และ มีข้อความว่า“รถรับ-ส่งนักเรียน”เป็นตัวอักษรสีดำความสูงไม่น้อยกว่า15ซม. ติดด้านหน้าและด้านท้ายของตัวรถ
- ไฟสัญญาณสีเหลืองอำพันหรือสีแดงปิดเปิดเป็นระยะติดไว้ที่ด้านหน้าและ ด้านท้ายของตัวรถ
- ต้องมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นเพื่อช่วยเหลือนักเรียนเมื่อมี อุบัติเหตุหรือเหตุ ฉุกเฉินเกิดขึ้น เช่น เครื่องดับเพลิงที่มีขนาดพอสมควรและติดตั้งไว้ภายในรถที่เหมาะสม ปลอดภัย พร้อมที่จะใช้งานได้ทุกขณะ ค้อนทุบกระจก 1 อัน สำหรับรถที่มีลักษณะเป็นรถตู้โดยสารเก็บไว้ในที่ ปลอดภัย และสามารถนำมาใช้งานได้โดยสะดวก
4.ต้องไม่ยินยอมให้ผู้โดยสารอื่นปะปนไปกับนักเรียน เว้นแต่ผู้ควบคุมดูแลนักเรียนหรือผู้ปกครอง
5.ไม่มีประวัติเสียหาย ได้รับใบอนุญาตขับรถทุกประเภท ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะหรือมีใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลมาแล้วไม่น้อยกว่า3ปี
6.มีผู้ควบคุมดูแลนักเรียน อายุไม่ต่ำกว่า18ปี ประจำอยู่ในรถตลอดเวลาที่ใช้รับส่งนักเรียน
7.ต้องส่งนักเรียนให้ถึงโรงเรียนหรือที่ อยู่อาศัย หรือผู้ปกครองโดยตรงตามที่ตกลง
8.หนังสืออนุญาตให้ใช้รับ-ส่งนักเรียนให้ใช้ได้ไม่เกินครั้งละ6เดือน นับแต่วันอนุญาต
9.นายทะเบียนมีอำนาจออกหนังสืออนุญาตให้ใช้รถในการรับ-ส่งนักเรียนในเขต จังหวัดที่จดทะเบียนไว้ เว้นแต่กรณีผู้ขออนุญาตมีความจำเป็นต้องใช้รถรับ - ส่งนักเรียนไปยังเขตจังหวัดอื่นที่มีพื้นที่ติดต่อกันเท่านั้น
10.ฝ่าฝืน/ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด จะถูกยกเลิกการขออนุญาตจากนายทะเบียน
ที่มา กรมการขนส่งทางบก