ไลฟ์สไตล์

“พ.ร.บ.ยาสูบ” ช่วยลดนักสูบหน้าใหม่

“พ.ร.บ.ยาสูบ” ช่วยลดนักสูบหน้าใหม่

04 ก.ค. 2560

เลขาธิการฯไม่สูบบุหรี่ เชื่อ พ.ร.บ.ยาสูบ ใช้ 4 ก.ค.นี้ ลดนักสูบหน้าใหม่ได้แน่นอน เหตุห้ามขายอายุต่ำกว่า 20 ปี เด็กห้ามซื้อบุหรี่ พร้อมแนะพ่อแม่ ต้นแบบเลิกบุหรี

      ศ.เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวถึงพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายในวันที่ 4 ก.ค.60 ว่า เจตนารมย์ของพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว เชื่อว่าลดการเข้าถึงและเป็นการเพิ่มจำนวนนักสูบหน้าใหม่ได้แน่นอน เพราะมีการกำหนดห้ามขายหรือให้ผลิตภัณฑ์สูบแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และห้ามให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นผู้ขายผลิตภัณฑ์ยาสูบ ห้ามแบ่งซองขาย ห้ามให้เห็นซองบุหรี่ บริษัท สถานประกอบการห้ามทำCSR ห้ามใช้พริตตี้ หรือส่งเสริมการขายต่างๆ และในอนาคตจะมีกฎหมายลูก ห้ามใช้สีสันบนซองบุหรี่ จะมีการเปิดเผยส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ การควบคุมการผลิตภัณฑ์ การคุ้มครองสุขภาพ

      นอกจากนั้น ที่สำคัญพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการประจำจังหวัดที่จะต้องทำหน้าที่รณรงค์ ลด ละเลิกการสอบบุหรี่ ซึ่งเป็นการทำงานอย่างจริงจัง จะส่งผลให้คนสูบบุหรี่ลดลงอย่างแน่นอน แต่จะลดลงมากน้อยนั้นคงต้องติดตามกัน ทั้งนี้ ในส่วนของบุหรี่ไฟฟ้านั้น ขณะนี้มีการห้ามโดยคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และอนาคตอาจจะมีกฎหมายลูกในเรื่องนี้ ก็ต้องดูความพร้อมของกฎหมาย และการดำเนินการต่างๆ”

     “พ่อแม่มีความสำคัญอย่างมากในการกระตุ้น และเป็นต้นแบบแก่ลูกๆ ที่จะช่วยลดจำนวนนักสูบหน้าใหม่ได้ เพราะหากพ่อแม่ไม่สูบให้ลูกเห็น หรือไม่ใช้ให้ลูกไปสูบบุหรี่ จะไม่เกิดทัศนคติที่มองว่าบุหรี่เป็นสินค้าหรือเป็นเรื่องปกติที่จะสูบบุหรี่ได้ นอกจากนั้น การที่พ่อหรือแม่สูบบุหรี่ จะทำให้ลูกติดบุหรี่ถึง 7 เท่า ดังนั้น ต่อให้มีกฎหมาย การรณรงค์การเลิกสูบบุหรี่ พ่อแม่ต้องเป็นส่วนสำคัญ จะเพิ่มหรือลดความเสี่ยงลูกติดบุหรี่”ศ.เกียรติคุณ นพ.ประกิต กล่าว

       ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายในวันที่ 4 ก.ค.60 โดยมาตรการสำคัญที่ประชาชนต้องรับทราบเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้อง ประกอบด้วย

      1.กำหนดห้ามขายหรือให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี

      2.ห้ามให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นผู้ขายผลิตภัณฑ์ยาสูบ

      3.ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบใน 4 กลุ่มสถานที่ ได้แก่ วัดหรือสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา สถานพยาบาลและร้านขายยา สถานศึกษาทุกระดับ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก

     4.กำหนดห้ามโฆษณาสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์ยาสูบในทุกรูปแบบ อาทิ พริตตี้ส่งเสริมการขายในงานคอนเสิร์ต

     5.ห้ามผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาสูบทำกิจกรรมซีเอสอาร์ อุปถัมภ์สนับสนุนบุคคล หรือองค์กร ที่เป็นการสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ยาสูบ

     6.ห้ามตั้งวางโชว์ผลิตภัณฑ์ยาสูบหรือซองบุหรี่ ณ จุดขายปลีกที่ทำให้ผู้บริโภคหรือประชาชนมองเห็น

     7.ห้ามแบ่งซองขายบุหรี่เป็นรายมวน

     8.เพิ่มโทษผู้ฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่เป็นปรับไม่เกิน 5,000 บาท

     9.กำหนดหน้าที่ให้เจ้าของสถานที่สาธารณะที่เป็นเขตปลอดบุหรี่ มีหน้าที่ต้องประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือน ดูแลให้ไม่มีการฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ หากฝ่าฝืนไม่ดำเนินการ เจ้าของสถานที่มีโทษปรับไม่เกิน 3,000 บาท

      ทั้งนี้ ปัญหาการบริโภคยาสูบเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ ที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพของประชาชนทำให้ป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร โดยคนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่สูงถึงปีละกว่า 5 หมื่นคน นอกจากนี้กลยุทธ์การตลาดบุหรี่ยังทำให้นักสูบหน้าใหม่ในกลุ่มเยาวชนเพิ่มจำนวนมากขึ้น และมีโอกาสที่จะเป็นผู้เสพติดไปตลอดชีวิต รวมทั้งความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งรัฐบาลต้องดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคเสพติดยาสูบ ทำให้สูญเสียงบประมาณไปกับการรักษาผู้ป่วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียที่เกิดจากการสูบบุหรี่ สูงถึง 74,884 ล้านบาท