
จากม.บ้านนอกสู่ม.วิจัยดร.สุมนต์ สกลไชยอธิการบดี มข.
"ที่ มข.มีวันนี้ได้เพราะได้แรงหนุนจากมหาวิทยาลัยรุ่นพี่อย่างจุฬาฯ และมหิดล ช่วยเป็นพี่เลี้ยงในทุกๆ ด้าน อาจารย์ผู้สอนล้วนจบจาก 2 สถาบันเก่าแก่ ทำให้สถาบันการศึกษาเจเนอเรชั่น 2 มหาวิทยาลัยบ้านนอกที่ก่อตั้งมา 45 ปี
อย่าง มข.ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติได้ ซึ่งภายใน 3 ปีนับจากนี้จะต้องทำตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ให้ได้ เพื่อนำภูมิปัญญาอีสานก้าวไปสู่ความเป็นสากลให้ได้" เป็นคำมั่นของผู้บริหารมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติที่ชื่อ ศ.ดร.สุมนต์ สกลไชย
ศ.ดร.สุมนต์ เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) สมัยที่ 2 มีเวลาบริหารถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งเขายอมรับว่าขณะนี้ มข.ยังสามารถปฏิบัติตามเกณฑ์มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ที่คณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ กำหนดไว้ว่า ต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่ติดลำดับไม่ต่ำกว่า 1 ใน 500 ที่มีการประกาศมหาวิทยาลัยของโลก
ถ้าไม่ติด 1 ใน 500 จะต้องเข้าเกณฑ์อย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ 1) มีผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในฐานข้อมูลระดับนานาชาติโดยภาพรวม (Scopus) ไม่ต่ำกว่า 500 เรื่องใน 5 ปีล่าสุด 2) ผลงานวิจัยต้องมีความโดดเด่นอย่างน้อย 2 ใน 5 สาขาวิชาหลัก 3) จะต้องมีอาจารย์ที่จบปริญญาเอกไม่ต่ำกว่า 40% ของอาจารย์ทั้งหมดในมหาวิทยาลัย
"แต่ผมยืนยันว่าภายในปี 2553-2555 ต้องทำให้ได้ เพราะรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้จำนวน 9,000 ล้านบาท และมีการประเมินผลทุก 6 เดือน เมื่อครบ 1 ปีแล้ว หากประเมินผลพบว่าไม่สามารถปฏิบัติได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็จะต้องมีการถอดออกจากความเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติด้วยเช่นกัน แต่เชื่อว่าจะสามารถทำตามกฎเกณฑ์ได้ เพราะได้วางแนวทางไว้หมดแล้ว โดยตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มสัดส่วนอาจารย์ปริญญาเอกให้ได้ 70% จากปัจจุบันที่มี 56% เพิ่มนักวิชาการ รศ., ดร.เป็น 75% จากที่มี 62% งานวิจัยเพิ่ม 40% จากที่มี 20%" อธิการบดี มข. กล่าว
เป้าหมายที่ตั้งไม่ไกลเกินฝันเพราะปัจจุบัน มข. มีศูนย์วิจัยเฉพาะทางถึง 27 แห่งเลยทีเดียว เป็นต้นว่า ศูนย์วิจัยและบริการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อระบาดใหม่ กลุ่มศึกษาวิจัยโรคกระดูกพรุน คณะแพทยศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทน ศูนย์ส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนวัยแรงงาน ศูนย์วิจัยคณิตศาสตร์ศึกษา ศูนย์วิจัยปรับปรุงพันธุ์พืชเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน ศูนย์วิจัยเครื่องจักรกลเกษตรและวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว ศูนย์วิจัยเเละพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ มีสำนักงานและโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน
ปัจจุบัน มข.มีนักศึกษา 39,500 คนในจำนวนนี้เป็นปริญญาโท 12,000 คน ปริญญาเอก 100 คน เหลือเป็นปริญญาตรี ซึ่งอธิการบดี มข.บอกว่าจะพยายามควบคุมปริมาณไม่ให้มากไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะอาจจะกระทบต่อคุณภาพได้ ซึ่งผลสำรวจบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาก่อนรับปริญญา 8 เดือนพบว่า 85% มีงานทำซึ่งในจำนวนที่มีงานทำ 90% ได้ทำงานตรงสาขา ได้เงินเดือนตามเกณฑ์ถึง 95% หน่วยงานที่ว่าจ้างพอใจคุณลักษณะของบัณฑิต 86% ที่สำคัญสามารถสอบใบประกอบวิชาชีพครั้งแรกได้ถึง 85% เลยทีเดียว
ศ.ดร.สุมนต์ อธิบายว่า การมีมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จะช่วยยกคุณภาพการศึกษาในทุกๆมิติ เพราะต้องมีนักวิชาการที่สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกตามที่กำหนด ซึ่งจะส่งผลให้มีงานวิจัยที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในการพัฒนาอุตสาหกรรม การเกษตร สังคม และการแพทย์ เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นด้วย ซึ่งมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่จะสามารถผลิตงานวิจัยเข้าเกณฑ์หรือติด 500 อันดับโลกในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก สามารถประกาศเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติในปีต่อๆ ไปได้เช่นกัน
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีศักยภาพที่สามารถจะทำงานวิจัยระดับชาติ มีผลงานระดับโลกประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.ธรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ม.มหิดล ม.พระจอมเกล้าธนบุรี ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น และ ม.สงขลานครินทร์ ส่วนมหาวิทยาลัยรัฐอีก 69 แห่งที่เหลือ รัฐบาลก็เตรียมงบประมาณไว้ 3,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนงานวิจัยให้นำมาใช้ได้จริงและเป็นงานวิจัยที่สามารถตอบโจทย์ชุมชน ท้องถิ่น งานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและเอสเอ็มอี หรือรัฐวิสาหกิจขนาดย่อย เพื่อร่วมผลักดันให้สถาบันอุดมศึกษาไทยมีคุณภาพอย่างแท้จริง และสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ต่อไป
"ผมเชื่อว่าการประกาศนโยบายมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ เป็นความหวังหนึ่งที่จะทำให้มีงานวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ และเป็นผลงานที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และนำไปใช้จริง ช่วยพัฒนาประเทศอีกทางหนึ่ง" ศ.ดร.สุมนต์ กล่าวทิ้งท้าย
0 หทัยรัตน์ ดีประเสริฐ 0