ไลฟ์สไตล์

แขกรับเชิญ-พิชัย วาศนาส่งใส่เหลืองไม่ยุ่งเหลือง

แขกรับเชิญ-พิชัย วาศนาส่งใส่เหลืองไม่ยุ่งเหลือง

14 ก.ย. 2552

"วันนี้ผมใส่เหลือง แต่ผมไม่ไปยุ่งกับอะไรทั้งนั้น ผมยุ่งแต่กับ "สัจธรรม"

 วันนี้ "แขกรับเชิญ" เป็นชายวัย 80 กูรู ผู้รอบรู้เรื่องต่างๆ ทั้งยังมีความจำเป็นเลิศ ไม่ว่าด้านการข่าว  การเมือง ดนตรี อาหาร การเขียน การสอน จนได้ชื่อว่าเป็น "ครู" ในทุกๆด้าน

 ในโอกาสเปิดตัวหนังสือ "ข้างครู" (จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์โพสต์บุ๊คส์) ที่หลานสาว ปวีณา สิงห์บูรณา ใช้เวลาติดตาม พูดคุย เก็บรายละเอียด และเรียบเรียงนานกว่า 2 ปี เพื่อบันทึกเป็น "ชีวิต" บนผืนอักษรที่สมบูรณ์ที่สุด สำหรับคนที่เธอรักและเทิดทูนที่สุดเช่นกัน

 และคงไม่ใช่แค่เพื่อ บันทึกเรื่องราวของญาติผู้เกิดก่อน ทว่า เป็นหนังสือของ "ผู้รู้" ที่คนทั่วไปจักได้ประโยชน์อย่างยิ่งยวดไม่น้อย  

 เพราะชายที่เอ่ยถึงคนนี้คือ ...พิชัย วาศนาส่ง นั่นเอง
 
เนื้อเรื่อง
 ...ถ้าพูดจริงๆ แล้วผมหลงใหลในเรื่องการทำงานด้านสื่อมวลชนเป็นเรื่องสำคัญ และผมถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมทิ้งไม่ได้ ใครจะให้ผมไปทำอะไร ผมก็ยังอยู่ภายใต้ความเป็นสื่อมวลชนนี่แหละ คืองานด้านของการให้เรื่องราวสาระแก่ประชาชน...

 ช่วงหนึ่งของถ้อยสนทนา ที่ พิชัย วาศนาส่ง เปรยถึง "งาน" ที่เป็นหนึ่งเดียวกับ "ชีวิต" ได้ตรงที่สุด 

 เหนืออื่นใด "ความเป็นครู" ก็ยังปรากฏชัดหลายๆ ด้าน ด้วยมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย(เจ้าตัว แย้งอย่างถ่อมตนเสมอว่า "มีศิษย์แค่พอสมควรก็พอ") แต่มองๆ ไป มีหลากหลายวงการเหลือเกิน ไม่ว่า นักการเมือง อาจารย์ นักธุรกิจ อย่าง รศ.ปทุมพร วลัยเสถียร จักรภพ เพ็ญแข ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล โอวาท พรหมรัตนพงศ์ เดช บุลสุข ฯลฯ 

 วันนี้ จึงอยากฟังท่านพูดถึงวงการสื่อสารมวลชน ที่เห็นและเป็นอยู่ แค่ประโยคที่ว่า 

 "...เวลานี้โทรทัศน์ของเราสนุก แต่ไม่ประเทืองปัญญามากเท่าที่ควร..."

 อืมม์...ชักน่าสนใจแล้ว
 
0 ทำไมถึงเป็น "ข้างครู" และทำไมไม่เขียนเองล่ะคะ 
 ผมยังนึกถึงอยู่ตลอดเวลาว่าคนเราถ้าพูดเข้าข้างตัวเอง ไม่ดี เพราะว่าจะพูดว่าตัวเองไม่ดีมันก็มี แล้วถ้าหากว่าจะพูดว่าดีอย่างเดียวมันก็ไม่ควร  เพราะว่าการเขียนเองมันจะยากกว่าด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องที่อยากจะพูดแต่ไม่กล้าพูดก็มีเยอะอยู่ นั่นคือเรื่องส่วนตัว แต่ว่ายังมีอีกเยอะเลยในชีวิตที่ได้ผ่านอะไรต่ออะไร และได้รู้อะไรต่างๆ มา อันที่จริงแล้วถ้าใครมองเป็นกลางและศึกษาหาเรื่องรู้ของผม ผมก็จะขอบใจมาก
 และอีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากที่สุดคือคำว่า "ครู" นายทหารเรือท่านผู้ใหญ่ เป็นครูของนายทหารเรือรุ่นรองๆ ลงมาทั้งนั้น นายทหารเรือทั้งหลายที่มาจากโรงเรียนนายเรือจะเรียกผู้อาวุโสกว่าว่า "ครู"  ถ้าหากผมเป็นครูได้ผมจะเป็น ชอบที่จะอธิบายอะไรต่ออะไรต่างๆ เพื่อให้คนเข้าใจ

0 มองรายการทีวีไทยตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ
 สาระมันน้อยไป อยากจะให้บ้านเราคิดถึงว่าความสนุกมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่วิชาช่วยให้เติบโต ความสนุกเราก็ดูชั่วครู่ชั่วยาม ถูกใจก็หัวเราะ ไม่ถูกใจก็ร้องไห้ โศกเศร้าหน่อย ตบตีกันมากหน่อย เราก็รำคาญ อะไรต่างๆ พวกนี้มันทำให้จิตของเราไม่ปกติ แต่ว่าถ้าเป็นความรู้เรารู้ได้จริงๆ อย่างคนญี่ปุ่นหลายๆ คนตอนนี้ทิ้งเมืองไปอยู่บ้านนอก ไปปลูกผักปลูกหญ้าอยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ กินอาหารที่บริสุทธิ์ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะทีวีวิทยุเขาชักจูงให้เป็นอย่างนี้ เขาจะหาที่ดินที่ให้คนอยากไปอยู่ แล้วจะไปบอกวิธีให้ความช่วยเหลือ ปลูกสตรอเบอร์รี่เขาก็หาพันธุ์สตรอเบอร์รี่ มันก็ดี

0 สื่อมวลชนและการนำเสนอข่าวยุคนี้ล่ะ
 ข้อสำคัญในเวลานี้ที่ผมนึกอยู่ตลอดเวลาก็คือว่า ผู้ที่รับผิดชอบเอาเรื่องราวมาเสนอเป็นข่าวน่าจะมีวิจารณญาณ รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างแท้จริง และมันจะไปกระทบกับอะไร เท่าไหร่ เสรีภาพในการเขียนมีแน่ๆ แต่วิธีจะเขียนให้เสรีภาพมันปรากฏโดยที่ไม่ทำให้สังคมเกิดปัญหาขึ้นมาว่าจะไปซ้ายไปขวา ประชาชนต้องรู้ทั้งนั้นแหละ เช่น กฎบัตรกฎหมายอะไรต่างๆ ที่ออกมาเพื่อจะควบคุมปวงชนหรือนโยบายของรัฐที่เราควรจะต้องปฏิบัติตามและต้องรู้

 อันที่สอง คือสิ่งที่ประชาชนควรจะรู้ อย่างตอนนี้เรื่องสุขภาพมีไข้หวัดระบาด เราควรจะรู้จะได้ป้องกันตัวเองได้ หรือว่าเกิดฝนตกฟ้าร้องแผ่นดินถล่มขึ้นมาถนนถูกตัดขาด นี่เป็นข่าวที่ต้องรายงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้รู้ว่าจะไปโน่นไปนี่ได้หรือไม่ได้ 

 อันที่สามเป็นสิ่งที่ประชาชนอยากรู้ มันไม่ใช่ปัญหาว่าประชาชนเป็นเจ้าของเรื่องหรอก ประชาชนอยากรู้ว่าเหตุการณ์มันทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เช่น ไฟไหม้ เรือล่ม เครื่องบินตก ตัวเองไม่มีญาติพี่น้องอยู่ แต่ก็อยากรู้ว่ามันตกที่ไหน ตกยังไง ทำไมมันถึงตก what when why how มันมาทีหลัง แต่ก่อนอื่นมันรู้ว่าอะไรเป็นตัวข่าวที่เราควรจะให้คนเขาสนใจได้ มันต้องเป็นสิ่งที่ต้องรู้ ควรรู้ และอยากรู้ และนอกจากนั้นก็มีสิ่งที่ทุกคนไม่ทันจะรู้ แต่เราอยากจะให้เขารู้ ถ้าครบอย่างนี้แล้วก็เท่ากับว่าเราเป็นสื่อมวลชนที่สมบูรณ์ที่สุด ทุกอันที่ออกมามันจะต้องอยู่ในแนวนี้ แล้วก็จะไม่มีพลาด

0 บรรยากาศตอนนี้ เป็นการเล่าข่าวซะมาก มีใส่อารมณ์ความรู้สึกไปด้วย
 ไม่ได้หรอก อันนี้ผิดเหลือเกิน อย่างนี้ บีบีซีเคยพูดว่าไม่ว่าคนใหญ่คนโตคนไหนตายหรือม้าตาย เสียงของคนเสนอข่าวต้องเรียบเท่ากัน จะบอกว่า แหม! คนนั้นตายแล้ว ไม่ได้ ม้าตัวนั้นวิ่งเก่งจนตับแตกตายก็จบแล้ว ไม่ต้องไปบอกว่าน่าสงสาร คนพนันไว้คงจะเสียหายอะไรต่างๆ อันนี้เราไปคาดการณ์ว่าจะเกิดความเสียหายอะไร

0 แล้วการวิเคราะห์ข่าวล่ะคะ ถ้าเราเผลอไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ไหม
 ถ้าเราประพฤติอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราไม่ประพฤติอย่างนั้น เราควบคุมสติตัวเราเองว่าพูดไปแล้วมันกลายเป็นไปเข้าทางคนโน้นคนนี้ ต้องหยุดทันที เพราะใจเราเริ่มจะเอนแล้ว อาจจะเป็นเพราะหวังว่าคนนี้เขาจะมาให้ตำแหน่งหรืออะไร ไม่เอา เราไม่ต้องการ เราจะเป็นสื่อมวลชนอย่างเดียวเท่านั้น

0 เห็นวิเคราะห์แต่ข่าวต่างประเทศ ไม่ค่อยชอบวิเคราะห์การเมืองไทยเหรอคะ
 ผมรู้จักการเมืองไทยดีกว่าใครๆ เพราะอยู่ในวงนี้ ปฏิวัติทีไรก็ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เสร็จแล้วผมก็ไม่เข้าไปยุ่งด้วยหรอก เขาบอกว่า อเสวนาจพาลานัง บัณทิตาบัณจะเสวนา นี่เป็นมงคลสูตรบทแรกที่สุดเลย คือไม่คบกับคนพาล ให้คบกับบัณฑิต นั่นแหละเราจะดีขึ้น ถ้าเราไปคบกับคนพาลมันดึงเราเรื่อยแหละ ให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันเป็นเครื่องมือเขาได้ง่าย

0 ทำอย่างไรประเทศเราถึงจะสงบสุขได้
 ประชาชนต้องไม่หูเบา ต้องดูมรรค 8 ให้เป็นฐาน อย่างว่านี่แหละ ถ้าหากไม่ใช้มรรคตัดสินก็ไม่รู้ว่าใครมีมิจฉาทิฐิ หรือสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ หรือมิจฉาสังกัปปะ สัมมาอาชีวะ หรือมิจฉาอาชีวะ มันก็มีคู่กัน  คนจบปริญญาเอกมีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ทำไมบ้านเมืองถึงยุ่ง เพราะสัมมาทิฐิกับสัมมาสังกัปปะมันไม่มี มันเอาวิชามาเป็นเครื่องมือในการหากินเอาเปรียบคนอื่นเขา

 แต่ว่าสังคมเดี๋ยวนี้มันไม่ได้ดูว่าใครดีใครชั่ว มันเชื่อการชักจูงจากคนที่เขามาพูดให้เราฟังว่าคนนั้นดีอย่างนี้ คนนี้ดีอย่างนั้น ใครพูดที่มีลอจิกดีก็เชื่อว่าเป็นไปตามที่เขาบอก มันจะแดงเหลืองหรืออะไรก็ไม่รู้ วันนี้ผมใส่เหลือง แต่ผมไม่ไปยุ่งกับอะไรทั้งนั้น แต่ผมยุ่งกับสัจธรรมเท่านั้นเอง

0 จะทำให้เขามากลางๆ หน่อยได้ไหม
 มันต้องมี แต่ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมจะต้องไปทำ มีคนตั้งเยอะแยะที่พูดอยู่เวลานี้ แต่พูดไม่ถูกที่ เหมือนเกาไม่ถูกที่ ความรู้สึกของคนมันถึงได้เกิดเป็นความผิด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าพูด เพราะถ้าเขาเกิดกลับขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้งหนึ่ง มันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

0 ดูยังแข็งแรงและความจำดีมาก มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไรคะ
 อายุเพิ่มขึ้น ความจำพัฒนาได้ เราต้องพัฒนามันขึ้นเรื่อยๆ อย่าหยุดคิด อย่าหยุดทำ อย่าหยุดบำรุงชีวิตให้ดี กินอาหารพอสมควร มันก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ทุกคน แต่จะมีวินัยในการบังคับตัวเองได้ขนาดไหน ผมทำของผมสม่ำเสมอมามันก็เลยเป็นอย่างนี้ ผมต้องดูข่าวเสมอ...

 เอาเป็นว่าทุกวันนี้เวลาหัวค่ำทุ่มสองทุ่มผมจะนอนแล้ว ตีหนึ่งผมจะตื่นขึ้นมาดูข่าวจากทั่วโลกโดยสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม มีหลายสถานีที่ผมหาความรู้ได้ ตอนเช้าผมก็จะรู้ ก็เหมือนกับสมัยพระพุทธองค์ประทับอยู่ตอนดึกก็ลุกขึ้นมามองดูโลก คิดอยู่ตลอดเวลา พอตอนเช้าก็นึกออกว่าจะเอาอะไรไปเทศน์เอาอะไรไปพูด ต้องมองโลกให้กว้าง

0 ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้างคะ
 จัดรายการวิทยุ 101 เขียนหนังสือบ้าง ทำมาเป็นประจำ เขียนให้ต่วย'ตูน 

0 ยังมีอะไรที่อยากทำอีกไหม  
 ตอนนี้อยากเขียนหนังสือ เพราะมันมีอะไรต่างๆ ที่เคยอ่านมานานแล้ว อย่างหนังสือสมัยโบราณของญี่ปุ่น ยังมีหนังสือที่ผมอยากจะเขียนอีกหลายๆ เล่ม แต่ว่าต้องมีเวลามากกว่านี้ เรื่องอาหารอาจจะกลับมาเขียนอีกก็ได้ อย่างพูดถึงเรื่องตำนานของอาหาร อย่าง "ข้างครัว" ที่เขียนขายดิบขายดี 3-4 เอดิชั่นมาแล้ว มันยังมีอะไรที่จะพูดได้อีกตั้งเยอะแยะ ตอนนี้กินอาหารไม่ได้เป็นการกินนะ แต่มันเป็นการกินยาพิษฆ่าตัวตายไปตามๆ กัน เพราะไปเชื่อคำโฆษณา มันก็มีอะไรต่างๆ ที่ยังคิดอยู่ ไปเลกเชอร์บ้างอะไรบ้าง

 อย่าให้บอกว่าอยากจะทำอะไรอีกไหม ถ้ามีอะไรให้ทำก็จะทำไปเรื่อยๆ สิ่งสำคัญคือจะทำให้คนเราเข้าใจเรื่องของศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาให้ลึกซึ้งกว่านี้ และเอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเราให้ถูกต้อง เพื่ออาศัยสัจธรรมจากพุทธศาสนาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนไว้ แต่คงไม่ได้เป็นผู้สอนศาสนาถึงขนาดนั้น แต่ว่ายินดีที่จะพูดจากันในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ว่าเป็นสิ่งที่น่าจะแก้ปัญหาของโลกได้เป็นสำคัญ     
0 ความสุขในวันนี้คืออะไรคะ 

 มันมีความสุขเมื่อเห็นคนอื่นทำถูกและทำอย่างที่เราบอก นั่นคือความสุขที่สุด ไม่ใช่เงิน เป็นความรู้สึกของผม 

นันทพร ไวศยะสุวรรณ์