
สธ.แจงหลังถูกแฉแทรกแซงบรรจุวัคซีนเข้าบัญชียาหลัก
สธ.แจงนำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (เอชพีวี) เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ 2 ชนิด เพื่อการแข่งขันเสรี ป้องกันการผูกขาดในอนาคต
จากกรณีที่เอ็นจีโอออกมาเปิดเผยว่ากระทรวงสาธารณสุข(สธ.)มีการแทรกแซงในการคัดเลือกวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีนเอชพีวี ชนิด 2 สายพันธุ์เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติแม้ไม่ผ่านการคัดเลือกจากคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบยา
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวเกี่ยวกับการจัดซื้อวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือวัคซีนเอชพีวี นั้น กระทรวงสาธารณสุข ขอชี้แจงดังนี้ 1. คกก.สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคยืนยันว่าวัคซีนทั้ง 2 ชนิดมีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่แตกต่างกัน และสามารถใช้ทดแทนกันได้ 2. การเสนอวัคซีนเอชพีวี ชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ เข้าไปในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยการเสนอของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในการจัดซื้ออย่างเสรีได้โดยไม่ผูกขาด เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ที่ต้องการให้เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการเสนอราคาของผู้ขายมากกว่า 1 ราย และ 3.การบรรจุวัคซีนทั้ง 2 ชนิดในบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นไปตามมติของคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ
ในการจัดซื้อวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ครั้งนี้ ได้มีผู้ขายเสนอราคาสองรายและสามารถต่อรองราคาเหลือ 279.537 บาทต่อโด๊ส ซึ่งเป็นราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) รวมค่าจัดส่งวัคซีนแล้ว ช่วยให้กระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ประหยัดงบประมาณในจัดหาวัคซีนรวมกว่า 36.8 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาที่คณะทำงานต่อรองราคาภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติได้ต่อรองวัคซีนเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์ 375.48 บาทต่อโด๊ส ซึ่งหวังผลป้องกันมะเร็งปากมดลูกในสตรี ในการดำเนินการได้คำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
ด้านศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลว่า จากข้อมูลทางวิชาการพบว่า สาเหตุของมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยประมาณร้อยละ 70-75 คือสายพันธุ์ 16 และ 18 เช่นเดียวกันกับในต่างประเทศ ในขณะนี้วัคซีนเอชพีวี มี 2 ชนิด คือชนิด 4 สายพันธุ์(สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18) และชนิด 2 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ 16 และ 18) แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก เกิดจากสองสายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ 16 และ18 สำหรับการเลือกวัคซีนเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก จึงสามารถเลือกใช้ได้ทั้งสองชนิด
ซึ่งวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (เอชพีวี) ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ มีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เท่ากัน และวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ในต่างประเทศก็ยังมีการใช้อยู่ ปัจจุบันมีประเทศที่ใช้วัคซีนเอชพีวีชนิด 2 สายพันธุ์ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 29 ประเทศ เช่น สก็อตแลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี สเปน เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ 16 และ18 ได้ประมาณร้อยละ 90-100 ในผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน
ประเทศไทยจะนำวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก(เอชพีวี) มาใช้ทั่วประเทศในระยะอันใกล้นี้ และวัคซีนชนิดนี้สามารถเริ่มให้ได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี สำหรับประเทศไทยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค แนะนำให้ฉีดในเด็กหญิงที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.5 ซึ่งถือเป็นวัยที่เหมาะสมที่สุดในการได้รับวัคซีนและสอดคล้องตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน หากประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422