ไลฟ์สไตล์

  แก้น้ำท่วมเมืองจันทบุรีด้วย‘คลองภักดีรำไพ’

แก้น้ำท่วมเมืองจันทบุรีด้วย‘คลองภักดีรำไพ’

07 มิ.ย. 2560

แก้น้ำท่วมเมืองจันทบุรีด้วย‘คลองภักดีรำไพ’

                นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของชาวจังหวัดจันทบุรี ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีแนวพระราชดำริแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองจันทบุรี จึงเป็นที่มาของการดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตามความตอนหนึ่งว่า

“...มีถนน 3 สายขนานกันที่กั้นน้ำ วิธีที่จะทำก็คือ ต้องดูว่าน้ำมันลงมาที่ไหนก็ดูได้ ถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดไปดูก็จะเห็นได้ ไปสำรวจดูว่าน้ำจะลงทางไหน แล้วก็ได้ทำการระบายน้ำ คือช่องระบายน้ำที่สอดคล้องกัน และถึงเวลาฝนลงมา น้ำลงมา ก็สามารถที่จะระบายออกไปได้ ไม่มีปัญหา สามารถที่จะระบายน้ำออกไป ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ถ้าถึงเวลาที่ต้องการน้ำเก็บเอาไว้ ก็มีทำเป็นประตูน้ำกักเอาไว้ไม่ให้น้ำไหลไปโดยไร้ประโยชน์ แต่ถึงเวลาก็ปล่อยน้ำออกไปได้...” 

แก้น้ำท่วมเมืองจันทบุรีด้วย‘คลองภักดีรำไพ’

                 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แม้โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริจะแล้วเสร็จ และสามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ตาม แต่ถ้าจะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในฤดูฝนสามารถป้องกันน้ำท่วมได้ 100% และในฤดูแล้งมีน้ำเพียงพอสำหรับทุกๆ กิจกรรม โดยเฉพาะการอุปโภคบริโภคและการเกษตรนั้น จำเป็นจะต้องพัฒนาต่อยอดโครงการ

                  สัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ว่า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและช่องทางในการระบายน้ำออกสู่ทะเลได้ในปริมาณและเวลาที่เร็วขึ้น โดยมีการขุดลอกปรับปรุงแม่น้ำจันทบุรีใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการระบายนํ้าได้ถึงประมาณ 500 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) /วินาที และได้มีการขุดคลองผันน้ำสายใหม่ ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อว่า “คลองภักดีรำไพ” มีความยาว 11.6 กิโลเมตร พร้อมประตูระบายนํ้าไว้ทำหน้าที่ควบคุม บริหารจัดการนํ้า อีกจำนวน 11 แห่ง โดยขุดแยกออกจากแม่นํ้าจันทบุรีก่อนเข้าถึงตัวเมือง เพื่อผันนํ้าส่วนเกินศักยภาพของแม่น้ำจันทบุรีที่รองรับปริมาณนํ้าได้ออกสู่ทะเล โดยมีประสิทธิภาพในการระบายน้ำได้สูงสุด 300 ลบ.ม./วินาที

                  ในขณะที่โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีศักยภาพในการระบายน้ำสูงสุดได้ 800 ลบ.ม./วินาที สูงกว่าปริมาณน้ำหลากเฉลี่ยที่ไหลผ่านเมืองจันทบุรีในรอบ 100 ปี หรือแม้กระทั่งปริมาณน้ำไหลหลากมากที่สุดในปี 2542 ที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเมืองจันทบุรีรุนแรงที่สุด ก็มีปริมาณน้ำเพียงประมาณ 700 ลบ.ม./วินาทีเท่านั้น 

                    “ในอนาคตจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำจันทบุรีมากกว่า 800 ลบ.ม./วินาทีหรือไม่ ไม่อาจจะทราบได้ ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนสบายใจ 100% และเป็นการพัฒนาลุ่มน้ำจันทบุรีให้เต็มศักยภาพ มีน้ำเพียงพอสำหรับความต้องการในทุกๆ ด้านตลอดทั้งปี กรมชลประทานจึงมีแผนจะต่อยอดโครงการ  ด้วยการพัฒนาสร้างแหล่งกักเก็บน้ำขนาดกลางในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำจันทบุรี เพื่อตัดยอดน้ำไม่ให้ไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างมากเกินไป และกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง”

                    อธิบดีกรมชลประทานเปิดเผยต่อว่า กรมชลประทานได้ทำการศึกษาเบื้องต้นที่จะดำเนินการสร้างอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำจันทบุรีตอนบนทั้งสิ้น 3 แห่ง ประกอบด้วย 1.โครงการอ่างเก็บน้ำคลองตารอง เป็นโครงการหนึ่งที่ได้ศึกษาไว้ในรายงานความเหมาะสม โดย JICA เมื่อปี 2532 และกรมชลประทานศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมออกแบบอีกครั้งเมื่อปี 2540 โดยเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ความจุประมาณ 60 ล้าน ลบ.ม. ก่อสร้างในพื้นที่ ต.จันทเขลม อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถตัดยอดน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำจันทบุรีบรรเทาปัญหาน้ำท่วม เพิ่มพื้นที่ชลประทานได้อีก 2.6 หมื่นไร่ และมีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างพอเพียงตลอดทั้งปี ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการขอเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว

                      2.โครงการอ่างเก็บน้ำคลองตาหลิว เป็นการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ความจุประมาณ 30 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวเช่นเดียวกัน และ 3.โครงการอ่างเก็บน้ำคลองสันทราย เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ความจุประมาณ 10 ล้าน ลบ.ม. ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้าง หากกรมชลประทานสามารถพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำจันทบุรีได้ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่ป้องกันปัญหาน้ำท่วมเฉพาะเขตตัวเมืองจันทบุรีเท่านั้น แต่จะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ทั้งลุ่มน้ำ และยังจะทำให้มีน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภคบริโภค และการเกษตรได้ตลอดทั้งปี 

                      ประภาพรรณ ฉัตรมาลัย อายุ 69 ปี ประธานชมรมพัฒนาชุมชนริมน้ำจันทบูร ซึ่งได้รับอานิสงส์จากโครงการ ระบุว่า ชาวชุมชนจันทบูรเป็นพื้นที่หนึ่ง ซึ่งถือว่าได้รับผลกระทบจากแม่น้ำจันทบุรีเมื่อเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมทุกปี โดยเฉพาะในปี 2542 ที่เกิดน้ำท่วมหนักกว่าทุกปี จนชาวบ้านไม่สามารถรับมือเตรียมเก็บของได้ทัน เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และมีพระราชดำริในการจัดสร้างคลองเพื่อบรรเทาการเกิดอุทกภัยให้แก่ชาวจังหวัดจันทบุรี โดยชาวจังหวัดจันทบุรีทุกคนต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้ และภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่มี “คลองภักดีรำไพ” ซึ่งเป็นคลองที่ความสวยงามมาก ทำให้ทุกวันนี้ชาวบ้านในชุมชนจันทบูรใช้ชีวิตอยู่ด้วยความสบายใจ เพราะไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดน้ำท่วมขึ้นอีก

                       นอกจากคลองภักดีรำไพจะช่วยบรรเทาปัญหานํ้าท่วมแล้ว ยังสามารถเก็บกักนํ้าจืดไว้ในคลองได้อีกประมาณ 2 ล้านลบ.ม. เป็นแหล่งน้ำต้นทุนแห่งใหม่ ช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้แก่พื้นที่โดยรอบ เกษตรกรที่อาศัยบริเวณแนวคลองสามารถสูบน้ำไปใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ครอบคลุมพื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 5,000 ไร่ และในช่วงฤดูแล้ง ขณะเดียวกันกรมชลประทานยังใช้สถานีสูบน้ำและประตูระบายน้ำปลายคลองภักดีรำไพเพื่อช่วยป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มเข้ามาในพื้นที่โครงการได้อีกด้วย

                    "ชาวบ้านพยายามช่วยกันรักษาธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ และให้เป็นพื้นที่พักผ่อน ออกกำลังกาย และปั่นจักรยาน รวมทั้งพยายามรณรงค์ไม่ให้มีรถยนต์เข้าไปวิ่งภายในบริเวณริมคลองภักดีรำไพ แต่ชาวบ้านยังมีความกังวลเรื่องการขยายตัวของเมืองที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มีการสร้างบ้านเรือนเพิ่มเป็นจำนวนมากตลอดแนวคลอง ซึ่งอาจจะกีดขวางทางน้ำไหลที่จะไหลลงสู่คลอง และทุ่งนาที่เคยรับน้ำก็กลายเป็นบ้านเรือนไปจนหมด อาจจะเกิดปัญหาน้ำท่วมได้อีกในอนาคต ดังนั้นอยากให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนป้องกันและแก้ไขไว้ด้วย” ประภาพรรณกล่าว

                     ขณะที่ ลุงบัญญัติ เอี่ยมสอาด เกษตรกรที่อยู่ติดคลองภักดีรำไพ กล่าวว่า มีที่ดินทำการเกษตรประมาณ 3 ไร่เศษ เมื่อก่อนมีคลองเกิดน้ำท่วมเป็นประจำ เพราะเป็นสภาพธรรมชาติ ฤดูฝนน้ำก็ท่วม พอข้าวออกรวงน้ำท่วมก็ได้รับความเสียหาย ปีไหนดวงดีหน่อยน้ำท่วมก่อนจะออกรวงก็ไม่เสียหาย แต่พอมีคลองภักดีรำไพแล้วน้ำก็ไม่ท่วมอีกเลย และในช่วงฤดูแล้งก็มีน้ำเพียงพอที่จะปลูกพืช ปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำก็หมดไปอีกด้วย ซึ่งในปีนี้ปลูกถั่วฝักยาว และมันเทศ ทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปี  นอกจากนี้จากการที่กรมชลประทานปรับภูมิทัศน์บริเวณประตูระบายน้ำปากคลองภักดีรำไพและถนนตลอดแนวคลองให้มีความสวยงาม ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ริมคลอง และพื้นที่ใกล้เคียง ได้ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และออกกำลังกายแห่งใหม่ของชาวเมืองจันทบุรีอีกด้วย

                  “ตอนเช้าๆ และเย็นๆ ผมเห็นชาวบ้านใช้ถนนทั้งสองฟากฝั่งคลองที่ยาวกว่า 11 กิโลเมตร ปั่นจักรยานออกกำลังจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ จะมีประชาชนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก จนทำให้ชาวจันทบุรีจำนวนหนึ่งต้องการจะให้คลองภักดีรำไพเป็น “ปอด” ของชาวจันทบุรีอีกด้วย”

                   นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากอานิสงส์ของ “คลองภักดีรำไพ” ที่กรมชลประทานนำ “ศาสตร์พระราชา” มาดำเนินการต่อยอดโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และขยายผลสู่การแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมเมืองจันทบุรีอย่างยั่งยืน

                                                                                  

ใช้“ศาสตร์พระราชา”แก้ปัญหาน้ำของประเทศ

            กรมชลประทานเดินหน้านำ “ศาสตร์พระราชา” มาแก้ปัญหาในพื้นที่อื่นๆ ที่ประสบปัญหาเรื่องน้ำทั่วประเทศ

             สัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานมีแผนที่จะนำ “ศาสตร์พระราชา” มาพัฒนาและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำทั่วประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตรให้แก่ประชาชนตามยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปีของรัฐบาล นอกจากกรมชลประทานจะขยายผลโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้ว ยังนำแนวพระราชดำริไปใช้แก้ปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ที่มีลักษณะภูมิประเทศที่มีความลาดชันสูงเช่นเดียวกับ จ.จันทบุรี เช่น ที่ จ.เพชรบุรี, อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์, อ.ทุ่งตะโก อ.หลังสวน และ อ.เมือง จ.ชุมพร เป็นต้น

               “แม้แต่ในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา กรมชลประทานก็มีแผนจะนำ “ศาสตร์พระราชา” เกี่ยวกับการขุดคลองผันน้ำหรือคลองระบายน้ำสายใหม่ เช่นเดียวกับ “คลองภักดีรำไพ” มาขยายผลดำเนินโครงการแก้ปัญหาอุทกภัย เช่น โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร เป็นการขุดคลองระบายน้ำสายใหม่เพื่อผันน้ำเลี่ยงเมืองพระนครศรีอยุธยา โครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำสายใหม่ เป็นการสร้างคลองระบายน้ำจากแม่น้ำป่าสัก ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำเจ้าพระยา ลงสู่ทะเลโดยตรง โครงการสร้างคลองระบายน้ำควบคู่กับถนนวงแหวนรอบ 3 ฝั่งตะวันออก เป็นการตัดยอดน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ลงสู่ทะเลโดยตรง เป็นต้น” อธิบดีกรมชลประทานกล่าวย้ำ

กว่าจะมาเป็น“คลองภักดีรำไพ”

                 ตัวเมืองจันทบุรีเป็นเมืองอกแตก คือมีแม่น้ำจันทบุรีไหลผ่านกลางเมือง กอปรกับติดชายฝั่งทะเล มีฝนตกชุก ยามฤดูฝนก็จะเกิดอุทกภัย หากเป็นหน้าแล้งน้ำก็ไหลสู่ทะเล ไม่สามารถกักเก็บได้ ครั้นในปี 2542 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในตัวเมืองจันทบุรี เนื่องจากฝนหนักและต่อเนื่องหลายวันและยังเกิดซ้ำในเดือนกรกฎาคม 2544 และเดือนตุลาคม 2549 จนสร้างความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

               กระทั่งปี 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานแนวพระราชดำริโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้น้อมนำแนวพระราชดำริมาประสานงานแบบบูรณาการเพื่อวางแนวทางการบริหารจัดการน้ำ พร้อมทั้งก่อสร้างแก้มลิงเพื่อเก็บกักน้ำในช่วงน้ำหลากเพิ่มเติม จนกลายมาเป็นโครงการบรรเทาอุทกภัยตัวเมืองจันทบุรีตามพระราชดำริในปัจจุบัน ส่วนชื่อคลองได้รับพระราชทานว่า “คลองภักดีรำไพ” มีความหมายว่า “คลองที่แสดงความจงรักในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7” ด้วยเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงที่เคยเสด็จฯ มาประทับ ณ จังหวัดนี้

                 หลังเสร็จสิ้นการก่อสร้างคลองดังกล่าว ตัวเมืองจันทบุรีก็ไม่ประสบกับอุทกภัยอีกเลย ทั้งยังมีน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคในหน้าแล้งเพียงพอและถือเป็นโครงการในพระราชดำริลำดับสุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่พระราชทานแก่จังหวัดจันทบุรี และเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดคลองภักดีรำไพ ณ ประตูระบายน้ำปากคลองภักดีรำไพ เทศบาลเมืองจันทนิมิต จ.จันทบุรี 

                             -----------------------------------