ไลฟ์สไตล์

ของบ1.6หมื่นล.ไทยเข้มแข็งขยายปลูกยางอีสาน

ของบ1.6หมื่นล.ไทยเข้มแข็งขยายปลูกยางอีสาน

11 ก.ย. 2552

สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยาง อ้อนรัฐบาลจัดสรรงบประมาณ 1.6 หมื่นล้านตามโครงการไทยเข้มแข็ง เพื่อนำมาขยายพื้นที่ปลูกยางพาราภาคอีสาน หวังสานต่อโครงการ 1 ล้านไร่ ด้าน รมช.เกษตรฯ เตรียมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.จัดสรรงบประมาณ ฝันภาคอีสานสู่ศูนย์กลางยางพาราในภูมิภาคอินโดจี

 วันนี้ (11 ก.ย.) ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น นายศุภชัย โพธิ์สุ เปิดเผยภายหลังการสัมมนาประชาศึกษาเรื่อง "สวนยาง สร้างชุมชนภาคอีสานให้เข้มแข็งได้จริงหรือ" ว่า ตัวแทนเกษตรกรภาคอีสานได้เสนอให้รัฐบาลขยายโครงการปลูกยางพาราจากเดิม 1 ล้านไร่ เพิ่มเป็น 4 ล้านไร่ เพราะจากผลการสำรวจพบว่าเกษตรกรมีความต้องการปลูกยางพาราเป็นจำนวนมาก อีกทั้งภาคอีสานยังมีพื้นที่ปลูกที่เหมาะสมถึง 9 ล้านไร่

 "เกษตกรภาคอีสานที่ได้รับการส่งเสริมปลูกยางพารา 1 ล้านไร่ของรัฐบาลที่ผ่านมา ได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ เพราะขณะนี้ปลูกมาได้ 5 ปีแล้ว คาดว่าในปี 53 ต้นยางพร้อมที่จะกรีดแล้ว ซึ่งจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับเกษตรกรภาคอีสาน  ดังนั้นจึงมีเกษตรกรอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องการเข้าร่วมโครงการปลูกยางพารา และได้เสนอขอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง จำนวน 16,000 ล้านบาทเพื่อนำมาสนับสนุนเรื่องปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร โดยคาดว่าภายในระยะเวลา 10 ปี จะสามารถคืนเงินให้กับรัฐบาลได้อย่างแน่นอน"

 นายศุภชัย กล่าวว่า หลังรับข้อเสนออันดับแรกตนจะปรึกษากับ รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่มีความสนใจอยากจะปลูกยางพารา จากนั้นจะเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อให้จัดสรรงบประมาณลงมา และอีกส่วนหนึ่งก็จะผลักดันเรื่องนี้ผ่านไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีงบประมาณอยู่แล้ว ให้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการปลูกยางพารา เช่น การจัดหาพันธุ์ยางที่มีคุณภาพให้กับเกษตรกร

 "โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมว่ารัฐบาลควรที่จะจัดสรรงบประมาณลงมาช่วยเหลือในด้านนี้ จึงจะสามารถสร้างไทยเข้มแข็งได้จริง เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา ในหลายโครงการของรัฐบาลลงทุนไปแล้วหายไปเลย แต่การทุ่มงบประมาณก้อนนี้ลงมาจะเป็นการลงทุนให้กับพี่น้องเกษตรกรที่มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องยางพารา ภายใน 6-7 ปีเกษตรกรจะมีรายได้ และภายใน 10 ปีก็จะสามารถใช้หนี้คืนให้รัฐบาล และนี่แนวทางในการจะสร้างไทยเข้มแข็ง อีกทั้งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพารานี้ จะผลักดันให้ภาคอีสานเป็นศูนย์พาราในแถบภูมิภาคอินโดจีนได้ในอนาคต" 

 รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องราคายางพารา ที่หลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงว่าอาจจะตกต่ำในอนาคตหากผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมๆ กัน ทั้งภาคเหนือ อีสาน ใต้ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องนี้ไม่น่าห่วง เพราะขณะนี้องค์การสวนยางได้ทุ่มงบประมาณ 470 ล้านบาท ก่อสร้างโรงงานรับซื้อยางพารา 3 แห่ง คือ จ.อุดรธานี ศรีสะเกษ และนครพนม อีกทั้งรัฐบาลยังได้อนุมัติงบประมาณ 8,000 ล้านบาท ให้สถาบันเกษตรกรและองค์การสวนยางรับซื้อน้ำยางเพื่อนำมาแปรรูปและสต็อกเป็นครั้งคราวในกรณีที่ราคายางตกต่ำ เพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาด ซึ่งจะสามารถเก็บสต็อกยางได้ถึง 200,000 ตัน โดยโครงการจะสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.53

 ด้านนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานกรรมการที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงโครงการยางพาราล้านไร่ที่เริ่มดำเนินการในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า โครงการยางพารา 1 ล้านไร่ ซึ่งปลูกในพื้นภาคอีสานประมาณ 700,000 ไร่ และภาคเหนือประมาณ 300,000 ไร่ จากการประเมินพบว่าพื้นที่ปลูกยางได้รับความเสียหายไม่เกิน 10% เท่านั้น ซึ่งเกิดจากการที่เกษตรกรละเลย ไม่ดูแลสวนยาง ส่วนปัญหายางตาสอยนั้นไม่มี เพราะว่าโครงการดังกล่าวกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ดูแล หากมียางตาสอยกรมวิชาการเกษตรจะต้องเข้าไปตรวจสอบ ทั้งนี้ยางล้านไร่ตนไม่ห่วง จะห่วงโครงการยางพาราของผู้ว่า ซีอีโอ ที่ไปซื้อพันธุ์ยางข้างทาง หรือยางธุดงค์ เพราะว่าไม่ได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพของกล้ายาง

 สำหรับแนวโน้มราคายางพาราคงไม่ตกต่ำแน่นอน เพราะวัฎจักรของยางพาราในรอบ 10 ปีราคาจะเพิ่มขึ้น ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่าราคายางจะตกต่ำ เพราะพื้นที่ปลูกในภาคเหนือ อีสาน ใต้ และประเทศเพื่อนบ้านจะสามารถกรีดยางได้พร้อมๆ กันนั้น เรื่องนี้ตนไม่ห่วง เพราะขณะนี้ประเทศ จีน อินเดีย มีความต้องการยางพาราเป็นอย่าง เพื่อนำไปผลิตยางรถยนต์ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของเกษตรกรไทย เพราะนอกจากจะขายยางพาราได้ในราคาดีแล้ว ยังสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และขณะนี้ทั่วโลกเป็นห่วงเรื่องโลกร้อน อนาคตอาจจะมีการขายคาร์บอนเครดิตอีกด้วย