ไลฟ์สไตล์

"3หมอ”รับรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นปี2552

"3หมอ”รับรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นปี2552

10 ก.ย. 2552

 ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จ.ปทุมธานี  เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 10 ก.ย. นพ.บรรลุ ศิริพานิช ประธานมูลนิธิแพทย์ชนบท เป็นประธานในการมอบโล่ห์รางวัล “แพทย์ชนบทดีเด่นกองทุนนายแพทย์กนกศักดิ์ พูลเกษร ประจำปี 2552” ซึ่งในปีนี้มีแพทย์ชนบทที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับรางวัลนี้ 3 คน ได้แก่ 1.นพ.เจริญ เสรีรัตนาคร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 2.นพ.วิโรจน์ วิโรจนวัธน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน จ.สกลนคร และ 3.นพ.สมชัย พงษ์ธัญญะวิริยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยะหริ่ง  

 นพ.เจริญ เสรีรัตนาคร อายุ 51 ปี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า เป็นแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนมา 25 ปี ตั้งแต่เรียนจบ ซึ่งที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้เห็นว่าน่าจะมาจากที่ตนเป็นริเริ่มพัฒนาและวางระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในโรงพยาบาล 18 อำเภอใน จ.อุบลราชธานี ส่งผลให้การบริการรักษาพยาบาลรวดเร็วขึ้นเนื่องจากข้อมูลผู้ป่วยทั้งหมดเป็นการจัดเก็บไปไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ทั้งประวัติผู้ป่วย การการแพ้ยา ทั้งยังช่วยให้การจ่ายยาแม่นยำมากขึ้น

 “ผมทำงานในโรงพยาบาลชุมชนมาตลอดชีวิต และไม่เคยคิดที่จะย้ายออกไปทำงานไปในโรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือเรียนต่อ เพราะคิดว่าความรู้ที่เรียนมาและมีอยู่ยังใช้ไม่หมด อีกทั้งยังเห็นว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยที่นี่ในทุกวันจะมีคุณค่ามากกว่า อีกทั้งยังเป็นการให้ชาวบ้านในถิ่นทุรกันดารในการบริการรักษา ทำให้รู้สึกว่ามีความสุขมากกว่า” นพ.เจริญ กล่าว และว่า ส่วนที่มีแพทย์จบใหม่เลือกอยู่ในชนบทน้อยนั้น เป็นเพราะว่ากลัวจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนแพทย์คนอื่นๆ รายได้ที่น้อย และยิ่งมีครอบครัวด้วยแล้วก็ยิ่งอยากมีฐานะที่ดีขึ้นเพื่อให้ครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ลำบาก

 นพ.เจริญ กล่าวต่อว่า สำหรับรางวัลที่ได้รับนี้นั้น เห็นว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สังคมรับรู้ว่าแพทย์ชนบทเป็นส่วนหนึ่งที่ทำประโยชน์ให้กับสังคม และรู้ว่าต้องทำงานหนัก เพราะแพทย์ส่วนใหญ่ที่เรียนจบจะทำงานใช้ทุนเพียงแค่ 1-2 ปีเท่านั้น และเมื่อคิดว่าหากอยู่ในชนบทต้องทำงานหนักตลอดชีวิตก็ไม่มีใครอยากจะอยู่ที่นี่

 ด้าน นพ.วิโรจน์ วิโรจนวัธน์ อายุ 47 ปี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน จ.สกลนคร กล่าวว่า เดิมตนเป็นคนกรุงเทพ แต่หลังเรียนจบเลือกที่จะมาทำงานในโรงพยาบาลชุมชนและรู้สึกรักภาคภูมิใจที่ได้ทำงานในโรงพยาบาลชนบทนี้ และต่อมาในปี 2544 จึงได้ย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน ซึ่งขณะนั้นเป็นโรงพยาบาลที่มีปัญหางบประมาณอย่างมาก โดยยึดหลักการบริหารที่เน้นความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้ พร้อมกันนี้ยังได้บูรณาการเชื่อมประสานการทำงานด้านสุขภาพกับชุมชนด้วยการสร้างเครือข่ายดูแลผู้ป่วย ทำให้งานรักษาพยาบาลในพื้นที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก

 “การเป็นแพทย์ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลใหญ่เสมอไป เพียงแต่ขอให้ได้ทำงานในที่ซึ่งมีประชาชนต้องการ ผมไม่ได้เป็นคนเก่งมากมาย แต่มุ่งหวังจิตใจผู้อื่นเป็นที่ตั้ง และการเห็นผู้ป่วยหายจากอาการป่วยที่เป็นอยู่ เป็นกำลังใจให้ทำงานแพทย์ชนบทต่อมาจนถึงทุกวันนี้” นพ.วิโรจน์ กล่าว และว่า ตนขอฝากไปยังนักศึกษาแพทย์รุ่นใหม่ๆ ว่า นอกจากการเรียนแพทย์แล้ว ควรต้องเน้นใส่ใจทักษะการสื่อสาร เพราะแพทย์ปัจจุบันมีอัตตาสูงคิดว่าตัวเองเก่ง แต่กลับล้มเหลวในด้านการสื่อสาร ไม่สามารถสื่อให้คนไข้เข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษา จึงก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งตามมาอย่างที่เห็นปัจจุบัน นอกจากนี้ขอให้ใส่ใจในเรื่องจิตวิญญาณความเป็นแพทย์ ที่ต้องมีความรู้สึกรักในอาชีพและรับรู้ถึงความทุกข์จากของคนไข้ในชนบทที่ยากไร้ให้มากขึ้น ต้องเน้นการรักษาทางใจควบคู่ไปด้วย ไม่รักษาแค่ทางกาย มองผู้ป่วยเป็นวัตถุที่นำยาและสารเคมีรักษาให้เท่านั้น และคำพูดที่ว่า หมอเป็นคนที่ฝากผีฝากไข้ได้ เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าคำพูดชมว่าหมอเก่ง

 ขณะที่ นพ.สมชัย พงษ์ธัญญะวิริยา อายุ 43 ปี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยะหริ่ง จ.ปัตตานี กล่าวว่า ตนทำงานเป็นหมอในพื้นที่ จ.ปัตตานี ไม่เคยย้ายออกไปไหน แม้ว่าจะทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัยก็ตาม ซึ่งสาเหตุที่ถูกคัดเลือกให้รับรางวัลในครั้งนี้ คงมาจากการทำงานที่พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ว่าจะเป็นการทำงานที่อยู่อย่างลำบากและเสี่ยงภัยก็สามารถดูแลประชาชนให้ได้รับบริการรักษาที่ดีและมีคุณภาพได้จนกระทั่งเป็นโรงพยาบาลที่ได้รับรองคุณภาพ หรือที่เรียกว่า HA: Hospital Accreditation และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งในโรงพยาบาลจะบริการผู้ป่วยที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ดังนั้นจึงมีการจัดบริการที่สอดคล้องกับหลักศาสนา เช่น การจัดพื้นที่สำหรับให้ผู้ป่วยและญาติทำพิธีละหมาด การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายก่อนเสียชีวิตด้วยการทำพิธีทางศาสนา และการทำพิธีอาซาลสำหรับรับขวัญเด็กแรกเกิด เป็นต้น

 นพ.สมชัย กล่าวต่อว่า ตนทำงานพื้นที่เสี่ยงภัย 3 จ.ชายแดนภาคใต้มา 19 ปี แต่ยอมรับว่าในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ การทำงานค่อนข้างลำบากมาก มีอันตรายมากขึ้นจากแต่ก่อนที่แม้เป็นพื้นที่ทุรกันดาร แต่สถานการณ์ก็ไม่น่ากลัวเหมือนในปัจจุบันที่พอตกดึกก็ไม่ไปไหนไม่ได้ และแพทย์พยาบาลรวมถึงเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลต้องอยู่ในความไม่ประมาทตลอด การปฏิบัติหน้าที่ยังต้องคอยประเมินสถานการณ์ก่อน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาได้มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การทำงานเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลได้ด้วยการสร้างเครือข่าย  ยืนยันว่าจะยังคงเลือกทำงานที่นี่ต่อไปและไม่ไปไหน