เจอ "ขุมทองใหม่" ที่เมืองกาญจน์ | คมชัดลึก

  แต่เมืองกาญจน์ก็สมคำร่ำลือเรื่องแดดแรงฝนตกหนักด้วยสิ เลยทำให้แผนที่จะเที่ยวแบบลื่นไหลไร้อุปสรรคมีอันต้องสะดุดพักบ้างบางช่วง คนข้างกายก็เลยได้แต่สะกิด "เกิดใต้ฟ้าจะกลัวอะไรกับฝน" เท่านั้นล่ะ สาวเท้าโครมครามไม่หวั่น ซึ่งก็คุ้มค่ากับรสชาติการท่องเที่ยวปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ซะจริง

 รักไทยเที่ยวไทยเริ่มต้นด้วยการไต่ระดับความสูงไปสัมผัสโอโซนบริสุทธิ์บริเวณสันเขื่อนศรีนครินทร์ ไปพิสูจน์ให้เห็นกับสองตาที่ใครต่อใครลือกันหนาหูว่าเขื่อนกำลังร้าวจริงหรือ ใช้มือลูบๆ คลำๆ ก็ไม่เห็นจะร้าวตรงไหน (อิอิ) จากนั้นนั่งรถไต่ระดับลงบนทางคู่ขนานกับแม่น้ำแควใหญ่ คราวนี้ล่ะร้อนแค่ไหนก็ บ่...ยั่น จะไปกลัวอะไรนั่งแพไม้ไผ่ล่องไปเลย แถมชุ่มฉ่ำสุดๆ เพราะล่องแพแบบเปียก ใช้ไม้ค้ำถ่อไปเรื่อยๆ ตามทางน้ำไหล ก่อนจะขึ้นฝั่งแล้วนั่งหลังช้างต่อ เออน่ะเข้าใจทำ อย่างนี้สิถึงจะได้รสชาติแบบแอดเวนเจอร์

 ว่าไปเถ้าแก่ตัน เขาเป็นคนหัวคิดบรรเจิดใช้ได้ คือแทนที่จะใช้โอกาสครบรอบ 10 ปี โออิชิ นำเงินทองไปทำบุญตามวัดเฉยๆ อย่างคนอื่นเขานิยมกัน รายนี้คิดใหม่แต่ก็อยู่ในอารมณ์เพื่อสังคมเหมือนกัน เพราะโปรแกรมเที่ยวกับโออิชิครั้งนี้ เจ้าตัวอยากสนับสนุนให้คนไทยเที่ยวไทยมากๆ ตัวเองในฐานะผู้ประกอบการเอกชนก็ช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้

 โดยจัดโปรแกรมเที่ยวไทยถูกๆ ไปกันเป็นแก๊งค่าใช้จ่ายก็เลยถูก อันนี้ค่อยอธิบายรายละเอียดทีหลัง เพราะมีเรื่องให้ทำความเข้าใจด่วนกว่านั้น ก็ช่วงที่ต้องพาไปเที่ยววัดป่าหลวงตาบัวนั่นไง คงจะรู้กันบ้างแล้วล่ะว่าวัดนี้ "ท่านจันทร์" พระอาจารย์ภูสิต ขันติธโร เจ้าอาวาส เป็นศิษย์ "หลวงตามหาบัว" แห่งวัดป่าบ้านตาด อุดรธานี ได้จัดการวัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวซาฟารีขนาดย่อมๆ อย่างการเข้าวัดมาดูเสือโคร่ง ความจริงวัดนี้มีชื่อเสียงทั้งได้รับการชื่นชมและถูกตำหนิก็มากกับการเลี้ยงดูสัตว์สัญชาตญาณดุร้ายอย่างเสือ จนท่านจันทร์ต้องพยายามทำความเข้าใจถึงที่มาของการครอบครองเสือกว่า 40 ตัว โดยบอกเพียงสั้นๆ ว่า อยากให้มาอยู่ดูภารกิจของวัดต่อเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แล้วก็เป็นระยะยาวด้วยนะ เพราะการกระทำคือคำตอบที่ดีที่สุด

 ทุกวันนี้วัดเลยอาศัยเมตตาธรรมใครเอาสัตว์อะไรมาปล่อยก็รับไว้ ล่าสุดวันที่ไปเที่ยวชมก็มีชาวบ้านนำวัว 15 ตัว มาทิ้งให้เป็นภาระของวัด เรื่องราวก็เป็นประการฉะนี้แล...

 แต่ที่ไม่ต้องเที่ยวแบบแคลงใจก็ต้องไฮไลท์อย่างการติดตามเส้นทางรถไฟสายมรณะ และตามรอยหนังดัง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร" ของผู้กำกับพันล้าน "ท่านมุ้ย" ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ที่โรงถ่ายพร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ บนเนื้อที่กว่า 1.8 พันไร่ ภายในตำบลลาดหญ้า อ.เมือง โรงถ่ายแดจังกึมของเอ็มบีซีที่ว่าเจ๋งๆ ก็เถอะ เจอโรงถ่ายนเรศวรเป็นต้องสยบ ก็หนังฟอร์มยักษ์ระดับจตุรภาค คิดเอาเองแล้วกันว่าจะต้องใช้สถานที่ ฉาก เสื้อผ้า อุปกรณ์ประกอบมหาศาลแค่ไหน แล้วขึ้นชื่อว่ายี่ห้อท่านมุ้ยแล้วทุกอย่างต้องยิ่งใหญ่อลังการงานสร้าง และทุกอย่างที่ว่ามาก็มารวมอยู่ที่นี่ ตอนไปเที่ยวชมขาดเพียงนักแสดงนำเท่านั้นที่ไม่ได้เห็น (ฮ่า ฮ่า)

 ทริปนี้เขาตั้งใจทำ แล้วก็อยากให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของวันหยุดเสาร์อาทิตย์ พ่อแม่หอบลูกหลานมาเที่ยว คือไม่ต้องเบื่อกันล่ะระหว่างรอดูชุดการแสดง "กระบวนการเคลื่อนทัพเครื่องสูง" จากนักแสดง 300 ชีวิตกินเวลากว่าครึ่งชั่วโมง จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้น เขาก็ชวนไปเดินตลาดซื้อของกินรองท้องก่อนที่ตลาดโยเดีย ซึ่งก็เป็นตลาดที่จำลองขึ้นเพื่อถ่ายหนังจริงๆ

 "โยเดีย" เป็นตลาดของเชลยศึก เป็นคำที่พม่าเรียกชาวอโยธยาหลังจากแพ้สงครามแล้วถูกจับมาเป็นเชลย ตลาดนี้อยู่นอกกำแพงกรุงหงสาวดีของผู้ชนะสิบทิศ "บุเรงนอง" มีของกินโบราณหลากหลายให้ซื้อหาโดยใช้เบี้ยเปลือกหอยแทนเงินสด 1 เบี้ยเท่ากับ 10 บาท แลกเบี้ยได้ที่บูธ ไม่ใช่สิ กระโจมเล็กๆ หน้าทางเข้าตลาดนั่นเอง ใช้ไม่หมดก็แลกคืนได้

 เห็นได้ข่าวว่าตลอดเดือนกันยายนนี้ ถ้าใครแวะมาเที่ยวโรงถ่ายฯ เถ้าแก่ตันใจป้ำเคลียร์ค่าบัตรผ่านประตูที่ปกติจะเก็บคนละ 100 บาท ให้เข้าไปเที่ยวไปดูการแสดงฟรีกันเลย แหม...ป๋าจริงๆ และถ้าตั้งใจมาดูโชว์การจัดทัพฯ ก็บริหารเวลาเที่ยวให้ดีแล้วกันเขาเริ่มโชว์เวลาประมาณ 4 โมงเย็น อาจจะออกเดินทางเช้ามาถึงเร็วแล้วแวะเที่ยวที่อื่นก่อนก็ได้

 ห่างจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชม. ก็มีที่ให้เที่ยวให้พักผ่อนเยอะแยะในเมืองกาญจน์ แต่คงต้องลองคิดหลุดกรอบจากเดิมๆ บ้าง อย่าเอาแต่คิดพิเรนทร์เพียงจะอยากได้ลาภลอยในถ้ำลมๆ แล้งๆ ลองเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้ตัวเอง แล้วคุณจะรู้สึกรักประเทศไทยขึ้นอีกเยอะ...