ไลฟ์สไตล์

คนบ้านเดียวกัน“พิเชษฐ์-สุเทพ”

คนบ้านเดียวกัน“พิเชษฐ์-สุเทพ”

11 พ.ค. 2560

เกมเขย่าขวัญ ปชป.

 พอวี่แววเลือกตั้งเริ่มเห็นเค้าลาง เป็นธรรมดาที่คนการเมืองจะออกเคลื่อนไหว

ล่าสุดกับการออกมาโพสต์เฟซบุคส่วนตัว ของ พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาวุโส พรรคประชาธิปัตย์ ในท่วงทำนองที่ว่า “ผิดจากนี้ไม่เอาดีกว่า”

“...นอกจาก ชวน หลีกภัย ยอมเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ ผมขอยืนยันว่าผมและคนในพรรคจำนวนไม่น้อย ยังสนับสนุน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค ผิดจากนี้ เราขอลาออกจากสมาชิกพรรค เพราะรับไม่ได้หากอุดมการณ์ 71 ปีของพรรคต้องถูกบิดเบือนไป...”

หลายคนอยากรู้ว่า ผิดจากนี้จะเป็นอะไร หรือเป็นใคร คงต้องเล่าเท้าความ แต่ใครที่ติดตามการเมืองจะรู้ว่าคนๆ นั้นที่พิเชษฐ์ไม่โอ...คือใครกันแน่?

ย้อนไปดูประวัติความเป็นมาของ อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์คนนี้กันสักนิด

เขาเกิดเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2487 (73 ปี) หากแต่บางแหล่งระบุว่าวันเกิดที่แม้จริงของเขาคือ วันที่4 เมษายน พ.ศ. 2487 เป็นบุตรของ จรุง และ วันเพ็ญ พันธุ์วิชาติกุล มีภรรยาชื่อ ลลิดา เอกาพันธุ์ มีบุตร 3 คน คือพิมพ์รพี, พิมพ์รำไพ และ ปาฏิหาริย์ พันธุ์วิชาติกุล โดยทั้งหมดทำธุรกิจของครอบครัว

เป็นคนบ้านเดียวกับ สุเทพ เทือกสุวรรณ คือ “สุราษฎร์ธานี” 

ทั้งนี้ เจ้าตัวเคยพูดถึงกำเนิดของตัวเองว่า “ผมเกิดที่เดียวกับคุณสุเทพ ที่อำเภอพุนพิน ริมแม่น้ำตาปี สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนคุณสุเทพ 5-6 ปี คิดว่าสะดือยังฝังอยู่ริมแม่น้ำตาปี ห่างกันไม่เยอะ แทบจะเป็นคนบ้านเดียวกัน”

พิเชษฐ์จบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร และมาจบปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบแล้วเป็นทนายความอยุ่นานจนนับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนหนึ่ง แต่อีกทางหนึ่งเขาก็มีธุรกิจส่วนตัวหลายอย่างในพื้นที่บ้านเกิดแดนสะตอ เช่น โรงแรม มาริไทม์ ปาร์ค แอนด์ สปา รีสอร์ท, บริษัท กระบี่ ซิตี้ โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด ฯลฯ จึงค่อนข้างมีบทบาทสำคัญในสภาหอการค้า

พิเชษฐ์โดดเข้าสู่การเมือง ลงสมัคร ส.ส. ครั้งแรกที่กระบี่ เมื่อปี 2535 ที่คนไทยได้รัฐบาลประชาธิปัตย์ หรือ ชวน 1 โดยพิเชษฐ์ยังได้เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีคลัง เป็นกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาดำเนินการป้องกันและแก้ไขคราบน้ำมันในน่านน้ำไทย เป็นกรรมาธิการการทหาร กรรมการและเลขานุการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร

กระทั่ง ปี 2538 ในยุคมังกรสุพรรณเป็นนายกรัฐมนตรี พิเชษฐ์ยังได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2539

จนเมื่อเมืองไทยผ่านยุควิกฤตการณ์ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองในปี 2540 และได้รัฐบาล ชวน 2 ที่มาจากกลุ่มงูเห่า พิเชษฐ์ก็็ยังได้นั่งเก้าอี้ ส.ส. กระบี่ พรรคเดิม แถมคราวนี้ ขึ้นไปถึงเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นหนึ่งในแกนนำทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมา

ในการเลือกตั้งปี 2544 แม้ว่าการเมืองจะเปลี่ยนขั้วอย่างแรง ให้ ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี พิเชษฐ์ก็ยังครองใจคนกระบี่เรื่อยมาจนการเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ 2548 เก้าอี้ ส.ส. กระบี่ของเขาไม่เคยหลุดไปให้กับใครที่ไหน หรือแม้ว่าเมืองไทยจะมีนายกฯ คนไหนก็ตาม อยา่งปี 2550 ยุคของ สมัคร สุนทรเวช พรรคพลังประชาชน พิเชษฐ์ก็ยังคงได้ครองเก้าอี้ ส.ส. กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี

อย่างไรก็ดี ในเส้นทางชีวิตการเมืองของพิเชษฐ์คนนี้ แม้ดูผิวเผินเหมือนจะรายเรียบ ด้วยไม่เคยหลุดไปจากเก้าอี้ ส.ส.กระบี่ แต่ในบทบาทส่วนอื่นๆ ก็ดูจะมีสีสันพอตัว ยิ่งบทบาทในพรรคสะตอ ที่ดูแล้วละม้ายคล้ายคลึงกับลีลาของ “เดอะจ้อน” อลงกรณ์ พลบุตร จนหลายคนบอกกันว่า สองคนนี้แหละ คือ “คนจริง” ที่คนสะตอควรฟัง

อยา่งปี 2556 พิเชษฐออกมาพูดผ่านสื่อในท่วงทำนองที่ว่า พรรคประชาธิปัตย์มีปัญหาที่ตัวบุคคล มิใช่โครงสร้าง จนเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2557 ก็ได้ตัดสินใจประกาศยุติบทบาททางการเมือง ระบุเหตผลด้านสุขภาพและจะดันบุตรสาวของตน คือ พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ให้สืบสานต่อ

อีกด้านหนึ่งอย่าลืมว่า ช่วงรอยต่อระหว่างปี 2556-2557 กลุ่ม กปปส. ออกมาประท้วงต่อต้านร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ก่อนยกระดับเป็นปฏิบัติการ “เป่านกหวีด” ขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีแกนนำเป็นคนประชาธิปัตย์เกือบค่อนพรรค เช่น สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ, สาทิตย์ วงศ์หนองเตย, วิทยา แก้วภราดัย, อิสสระ สมชัย, ถาวร เสนเนียม, พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ฯลฯ

ซึ่งฝ่ายพิเชษฐ์คนนี้แหละ ที่แสดงจุดยืนชัดเจนว่า อยู่คนละข้างกับ กปปส. เสมอ โดยโพสต์เฟซบุคว่า

“ไม่มีอะไรที่ผมไม่ชอบคุณสุเทพ เป็นส่วนตัว แต่คนโต ๆ ด้วยกัน ความคิดทางการเมืองอาจต่างกันบ้าง โดยเฉพาะการเอาอนาคตของพรรค ปชป. ไปผูกติดกับงานของ กปปส.เพราะพลาดไป เท่ากับอนาคตของ ปชป.จบลงด้วย”

“ผมไม่เห็นด้วยกับการลาออกทั้งพรรค ออกจากสภาฯ มาสู้ข้างถนน เมื่อเป็นนักการเมือง ต้องสู้ในสภา นักมวยอาชีพต้องไม่ชกนอกเวที"

ขณะที่ในจดหมายชี้แจงการลาออกจากพรรค ยังบอกเลยว่าตนเองนั้นรับไม่ได้กับการเสียชีวิตของพี่น้องประชาชนในม๊อบกปปส.

“ใครก็อย่ามาขอสนับสนุนการเดินทางไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ จากผมเด็ดขาด บอกกล่าวไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องมาเสียใจกัน”

พูดง่ายๆ ว่ากับคนบ้านเดียวกันอย่างกำนันสุเทพนั้น ดูจะไม่สามารถร่วมทางกันได้อีกแล้ว อย่างการคัดค้านรัฐธรรมนูญที่เราเพิ่งได้ใช้กันอยู่นี้ก็เช่นเดียวกัน

“ยืนยันว่าไม่เคยเห็นด้วยกับการรัฐประหารยึดอำนาจล้มระบอบประชาธิปไตย และไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้”

มาล่าสุดนี้ หลายคนคงถึงบางอ้อ ว่าทำไมพิเชษฐ์ถึงออกมาโพสต์ท่าทีเป็นห่วงเป็นใย “หัวหน้ามาร์ค” และอนาคตพรรคสะตอ ในห้วงที่ใกล้ถึงวาระที่พรรคจะมีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แล้วยังมีความเคลื่อนไหวของ ลุงกำนันแห่งมวลมหาประชาชน ที่พูดว่าเพิ่งเชิญหัวหน้ามาร์คมาแฮฟดินเนอร์กันนะ

บวกกับข่าวลือที่ว่า พรรคจะมีการเสนอชื่อคนที่มาเป็น “เลขาธิการพรรค” ที่อาจเป็นคนจาก กปปส. ซึ่งตำแหน่งนี้รู้กันดีว่า มีบทบาทสูงในการกำกับทิศทางของพรรคขนาดไหน

พิเชษฐ์ ก็เลยอยากจะบอกเต็มทีว่า “แบบนี้ไม่โอ ไม่โอมากๆ นะน้องมาร์ค”