Lifestyle

เปิดปูม 2 ทนาย สุดฮอต!!‘สงกานต์  ’-‘เกิดผล '

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดปูม 2 ทนาย สุดฮอต!! -‘สงกานต์  อัจฉริยะทรัพย์’-‘เกิดผล แก้วเกิด’ จากหลายคดีดัง !! ที่สังคมจับตามองเวลานี้

 

          จากหลายคดีดัง !! ที่สังคมจับตามองเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น คดีที่มีผลกระทบต่อผู้เสียหายวงกว้าง หรือคดี ‘เซเลป’คนดัง ได้ทำให้ “ทนายความ” เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการเรียกร้องสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายในการดำเนินคดี

         ซึ่งวันนี้..ชื่อของทนายความ ที่กำลัง HOT ON CHART คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา “สงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์” ที่มีผู้ให้คำนิยามตั้งฉายาว่า “เปาบุ้นจิ้นเมืองไทย” ก็เพราะเขาใช้กฎหมายที่ร่ำเรียนมา เปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบในคดีได้เข้าสู่กระบวนการต่อสู้เต็มที่ และบุคลิกที่จริงจัง ดุดันเวลาให้สัมภาษณ์ถึงคดีและกล้าที่จะประกาศตัวออกมาต่อสู้ทางกฎหมาย

        โดยผลงานคดี ที่สร้างชื่อให้ทนายความ วัย 49 ปีคนนี้ เป็นที่ติดอกติดใจของผู้คนให้พูดถึง เริ่มแรกก็ในปี 2551 คดี“เสี่ยอู๊ด” สิทธิกร บุญฉิม นักสร้างพระชื่อดังที่ตกเป็นประเด็นทั้งวงการสังคมและวงการบันเทิง ถูกฟ้องเป็นจำเลยคดีฉ้อโกงประชาชน ที่“เขา” เป็นทนายความ ช่วยผู้เสียหายจากการเช่าพระสมเด็จเหนือหัว รวมตัวแจ้งความดำเนินคดีและใช้สิทธิเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดี

       และเมื่อ “เขา” ได้มาเป็นที่รู้จักในสื่อมวลชนบ้างแล้ว ก็เดินหน้าในการทวงความเป็นธรรม คดีลักษณะหลอกลวงฉ้อโกงอีกหลายเรื่อง และคดีเกี่ยวข้องกับ พระ-สามเณร 

      อย่างปี 2557 “เขา” เข้าแจ้งความร้องทุกข์ตำรวจกองปราบ คดีพระครูเวฬุวัน จันทรังษี อายุ 65 ปี หรือ หลวงปู่พิมพ์ เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน จ.ชัยภูมิ ที่ประกาศละสังขารล่วงหน้า ด้วยการเข้าไปนอนในโลงศพ แต่ภายหลังถูกเกลี้ยกล่อมให้ล้มเลิกการละสังขารดังกล่าว ก่อนจะถูกพาส่ง โรงพยาบาล จนเกิดกระแสวิจารณ์ว่าเข้าข่ายหลอกลวงอวดอุตริมนุสธรรม

      กระทั่งปี 2559 'คดีหญิงไก่' ที่ “เขา” มาช่วยเหลือ ‘น้องก้อย’ เด็กสาวลูกจ้างวัย 19 ปีแจ้งความกลับ ฐานแจ้งความเท็จ หลังจากนางมณฑา หยกรัตนกาญ หรือหญิงไก่ ที่หลอกลวงเด็กสาวหลายคนและชาวบ้านว่ามีฐานันดรศักดิ์เป็นถึง ‘คุณหญิง’ แล้วพามาทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่จ่ายเงินเดือน ไม่ส่งเรียนตามที่เคยตกลงกับพ่อแม่เด็ก และเมื่อเด็กจะลาออก ก็ถูก 'หญิงไก่'แจ้งความคดีลักทรัพย์ จนตอนหลังเรื่องมาแดงว่า แท้จริงแค่ คุณหญิงกำมะลอ ซึ่งปัจจุบันหญิงไก่ถูกอัยการฟ้องทั้งคดีค้ามนุษย์และหมิ่นเบื้องสูง

          แล้วยังมีอีกกับ คดีวางมวยทำร้ายกัน ในปี 2559 คดีน็อต-อัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล พิธีกรวัยรุ่นเลือดร้อนชื่อกระฉ่อน หลังมีคลิป ชกทำร้าย หนุ่มขี่รถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนกับรถมินิคูเปอร์ราคาหลักล้านของพิธีกรหนุ่มที่คิดว่าชนแล้วหนี จนได้มาซึ่งฉายาแซ่บ “ น็อต กราบรถ” ซึ่ง “สงกานต์” ได้เป็นทนายให้กับ บอย หนุ่มมอเตอร์ไซค์ หลังจากที่ถูกดำเนินคดีคู่ด้วยข้อหา ขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนและทำให้รถยนต์ผู้อื่นเสียหายฯ โดนโทษปรับไป 400 บาท ส่วนข้อหาชนแล้วหลบหนี พนักงานสอบสวนทำความเห็นเสนอพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ขณะที่ ‘น็อต’ ก็ถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน ทำร้ายร่างกายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) คดียังรอศาลอาญากรุงเทพใต้ พิจารณา

           แถมต้นปี 2560 สดๆร้อนๆ กับคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ !! น้องปอนด์ นักศึกษาชาย ชั้นปีที่ 4  มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นซึ่งเป็นลูกหลานตำรวจในพื้นที่ ใช้ไขควงแทงศีรษะ คาหอพัก จ.เพชรบุรีจนต่อมาเสียชีวิต ที่ “เขา” ติดตามดูคดีให้ครอบครัวผู้ตายที่ระบุว่า พยานถูกข่มขู่ ซึ่งคดีได้ถูกโอนมาจากพื้นที่เพชรบุรี ให้ตำรวจกองปราบปรามรับมือต่อไป

         แต่ที่ลุ้น...ล่าสุด คือ คดี ผัว-เมีย ชาวกาฬสินธุ์ ที่ศาลตัดสินทำผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ, บุกรุกป่าสงวน และมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครอง ซึ่งจำเลยต่อสู้คดีว่าครั้งแรกรับสารภาพเนื่องจากมีปัญหาเรื่องการได้ยิน หูไม่ดี เพราะเคยประสบอุบัติเหตุขับรถมอเตอร์ไซด์ชนมอเตอร์ไซด์ด้วยกัน และมีคนบอกว่าหากรับสารภาพจะได้รับโทษแค่ปรับเท่านั้น และไม่ได้ตัดไม้ตามที่ถูกกล่าวหา ที่ “เขา” เป็นทนายรับว่าความสู้คดีมายาวนาน จนศาลฎีกาเพิ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 พ.ค.60 ที่ผ่านมา ให้จำคุกคนละ 5 ปี จากเดิมที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 14 ปี 12 เดือน คดีนี้ถือเป็นอีกคดีดัง ทำให้ชื่อของ “ทนายสงกานต์” เป็นที่เล่าขานรู้จักของสังคมและสื่อโซเชียล ซึ่งคดีนี้เกิดกระแสวิจารณ์ เรียกกันจนติดปากว่า “คดีตายายเก็บเห็ด”

         จากประสบการณ์ การปฏิบัติทางกฎหมายของเขา ยังได้นำมาใช้ประโยชน์ในการจัดทำรายการทีวี “คลายทุกข์ชาวบ้าน” ทางช่องอัมรินทร์ทีวี ให้ความรู้ทางกฎหมายกับสังคมในวงกว้างอีกทางด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ ณ วันนี้ใครๆ จะนึกถึงชื่อ “สงกานต์ อัจฉริยทรัพย์” เป็นอันดับต้นๆ เมื่อต้องการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเพื่อชำระการกระทำทางกฎหมาย

         อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึง “ทนายมหาชน” รุ่นใหม่ ที่พร้อมออกมายืนหยัดในการเรียกร้องความเป็นธรรม จากการถูกละเมิดสิทธิและไม่ได้รับการปฏิบัติทางกฎหมายอย่างสมควรด้วยความเท่าเทียมแล้ว ในช่วงปีที่ผ่านมายังมีชื่อของ “ เกิดผล แก้วเกิด ” ทนายความวัย 42 ปีย่าง 43 ปี ที่เปิดสำนักงานกฎหมายของตัวเอง เพื่อประกอบวิชาชีพทนายความที่ได้ร่ำเรียนนิติศาสตร์ จบมาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราชในช่วงเวลา 4 ปีพร้อมกัน

         ขณะที่ระหว่าง “เขา” ใช้ความรู้ทางกฎหมายเพื่อประกอบอาชีพทนายความอิสระ “เขา” ก็มีโอกาสพิทักษ์ความยุติธรรมให้กับผู้ที่กระทำละเมิด ซึ่งผลงานคดีดังที่เคยเป็นข่าวใหญ่โตในหน้าสื่อ ก็เริ่มต้นที่ “คดีหมูแฮม -กัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์” ลูกชายอดีตนางสาวไทย ที่ปี 2550 ขับรถเบนซ์หรู พุ่งชน พนักงานการเงิน ขสมก. และผู้โดยสารที่ยืนบนทางเท้าเสียชีวิต หลังเกิดเหตุรถเมล์ ขับปาดหน้ารถของนายกัณฑ์พิทักษ์ ที่หน้าป้อมตำรวจจราจร ปากซอยสุขุมวิท 26 แยกอารีย์ คลองเตยเหนือ ซึ่ง “เขา” รับเป็นทนายความให้ลูกสาวของพนักงาน ขสมก.ผู้ตาย ร่วมเป็นโจทก์กับอัยการ ฟ้องคดีอาญาและให้ชดใช้ค่าเสียหาย จนคดีตัดสินถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกา เมื่อปี 2558 ให้จำคุกนายกัณฑ์พิทักษ์ เป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน

          และผลงานก็เป็นที่จับตาอีกครั้ง ในคดีที่ “เขา” เป็นทนายความให้กับญาติผู้เสียชีวิตที่ถูกทำร้ายร่างกายขณะตำรวจไล่จับกุมผู้ลักลอบเล่นพนันไฮโล ย่านห้วยขวางเมื่อปลายปี 2559 แล้วต่อมาเสียชีวิต ซึ่งได้มีการยื่นฟ้องคดีอาญากลับกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ “เขา” ใช้กฎหมายพิสูจน์การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่าชอบหรือไม่

           กับการเรียกร้องสิทธิทางกฎหมาย “เขา” ยังให้ความช่วยเหลือทางคดีกับครอบครัว “น้องทราย” นักเรียนชั้น ม.5ใน จ.นครราชสีมา ที่ถูกครูพละขว้างแก้วใส่ จนมีอาการปากเบี้ยว ตาข้างซ้ายเหลือก ปิดเปลือกตาไม่ลง เพราะกล้ามเนื้อบวมทับเส้นประสาท ที่คดีอยู่ในมือของตำรวจ

           ล่าสุด คดีค้ามนุษย์ ใน จ.แม่ฮ่องสอน ที่มีจัดหาเด็กสาวค้ากาม ที่มีการพาดพิงถึงกลุ่มข้าราชการ จนเป็นข่าวโด่งดัง “เขา” ก็ออกมารับหน้าเสื่อให้แม่เด็กสาวผู้เสียหาย นำเรื่องร้องเรียนถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

          ไม่ใช่เพียงแค่การทำหน้าที่เป็นทนายความในคดี...เท่านั้น ที่ “เขา” ตั้งเป้าหมายในชีวิต แต่ “เขา” ยังคงนำกฎหมายที่เรียนรู้และได้ปฏิบัติจริง มาสื่อสารให้สาธารณชนรับรู้ผ่าน ‘เฟซบุ๊ก’ เพื่อเป็นข้อแนะนำให้ผู้เกี่ยวข้องและสังคมได้ตระหนัก เพื่อความเป็นธรรมได้ยุติ ตามหลักการและข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้

         ตราบใดที่...ยังมีการละเมิดสิทธิ เพราะความลำเอียง ไม่เที่ยงธรรม ไร้หลักการ ปฏิบัติอย่าง 2 มาตรฐาน “ วิชาชีพทนายความ” ย่อม เป็นอีกส่วนสำคัญหนึ่ง ที่จะเป็นที่พึ่งให้ประชาชน ได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเหมาะสม เหมือนการสร้างกระบวนการยุติธรรมให้เท่าเทียม เที่ยงธรรมทุกขั้นตอน

         ซึ่ง “ทนายความมหาชน” จะไม่เกิดขึ้นเพียงเท่านี้ แค่ในวันนี้แน่ !! แต่เรายังมองเห็นวันนี้ได้อีกในอนาคต

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ