ไลฟ์สไตล์

 แม่เล้าเด็ก!

 แม่เล้าเด็ก!

04 พ.ค. 2560

ตุ๊บปอง-เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก เขียนเรื่อง อุทาหรณ์ แม่เล้าเด็ก.ความรักที่ผลักลูกให้ตกเหว สะท้อนสังคม

   “ตุ๊บปอง เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป” กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก เขียนเรื่องราวต่างๆสอนไว้ใน เฟส โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆในสังคมไทยขณะนั้นและการสอนรวมไปถึงการเลี้ยงลูกเป็นประจำทุกวัน ล่าสุดเขาได้เขียนเรื่องขอเล่าไว้.ให้เป็นอุทาหรณ์ ตอน แม่เล้าเด็ก ความรักที่ผลักลูกให้ตกเหว

 คำเกริ่น
    เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย จะได้ไม่ต้องทุ่มเถียงกันอีกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง แกว่งใจให้ขุ่นก็ขอให้ผู้อ่านทุกคน คิดซะว่า เรื่องนี้ ถูกแต่งขึ้นมา มีเป้าหมาย เพื่อเล่าไว้ให้เป็นอุทาหรณ์ก็แล้วกันนะจ๊ะ

ครั้งหนึ่งได้ดูแลเด็ก ม.1 ที่ถูกเรียกว่า “แม่เล้า”

       เรื่องมีอยู่ว่าสาวน้อย ม.ปลายวัย 15 คบหาแล้วเกิดได้เสียกับนักเรียนรุ่นพี่วัย 16คิดว่ารักกันหนา จึงพากันหนี มาอยู่ต่างจังหวัด ไกลหูไกลตาพ่อแม่และญาติโกมาเช่าบ้านอยู่ด้วยกันฝ่ายชายไม่ทำมา แต่ฝ่ายหญิงก้มหน้าก้มตาหา ด้วยการลงทุนซื้อรถเข็นมาขายส้มตำ

       อุ้มท้องอ่อน ๆ ทำมาหากินได้ไม่ถึง 2 เดือนผัวหนุ่มก็ทิ้งเมียสาว อย่างไม่มีเยื่อใย ไร้ความใยดี ทั้ง ๆ ที่มีลูกของตนติดท้องน้องอยู่

      ส่วนน้องนั้น..เสียใจก็เสียใจแต่จะทำอย่างไรได้เมื่อตัดสินใจออกจากบ้านมาแล้ว ก็ต้องสู้สักตั้ง กัดฟันเดินต่อ ไม่ท้อไม่ถอย ขายส้มตำจนท้องแก่และคลอด ออกไฟก็จ้างคนข้างบ้านเลี้ยงรายวัน ส่วนตัวนั้นก็ออกไปขายส้มตำตามปกติ

      ทุกวันเช้าก็ออกไปทำงาน เย็น เมื่อเข้ามาถึงบ้านก็รับลูกมาโอบ มากอด พร้อมพร่ำพรรณนาขอโทษลูก“แม่ไม่ดีพอ พ่อจึงทิ้งลูกไป”อะไรทำนองนี้.ทุกวัน
      ก็จะคุยกับลูกตั้งแต่แบเบาะว่า วันนี้แม่ขายได้เท่าไหร่ โดยที่ไม่เคยบอกลูกว่ามีการลงทุนเท่าไหร่ และเหลือกำไรเท่าไหร่ลูกจึงโตมากกับการปรนเปรอของแม่อยากได้อะไรเป็นได้ ใครมีอะไร ลูกมีอันนั้นแม้นบางอย่างลูกไม่ได้ร้องขอแม่ก็หาให้

     งานบ้านงานเรือนไม่ต้องแตะ  อยากกิน อาหารก็มาถึงปาก อยากกินอะไร.ให้บอกแม่บอกว่าทดแทนที่เป็นต้นเหตุให้ลูกขาดพ่อใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้น จนลูกเข้าเรียนอนุบาลผ่านเข้าประถมพอเข้า ป.4 เพื่อน ๆ ที่พ่อแม่มีฐานะมีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเมื่อ 10 ปีก่อน ถือเป็นเรื่องที่เวอร์มาก เพราะ ไม่มีความจำเป็นใด ๆ กับชีวิตในชนบท

     เมื่อลูก “อยาก” แม่ก็จัดให้ พร้อมตั้งกติกาให้ค่าบัตรเติมสตางค์ สัปดาห์ละ 50 บาทป.5 ผ่านไปแต่พอเข้า ป.6 ค่าโทร 50 บาทไม่พอละ
ขอแม่ แม่เกิดมาแข็งเข้าเอาปีนี้ ไม่ให้มากไปกว่า 50 บาทตามกติกาทำไงล่ะชีวิตไม่เคยผิดหวังสักครั้งเดียว

     ความคะนองกอปร์กับที่ลูกโกรธแม่ หาว่าแม่ไม่รัก เที่ยวไปบ่นก่นด่าโชคชะตาว่าเกิดมาจน เกิดมาเป็นลูกแม่ค้าส้มตำ ขอแค่ 50 บาทก็ไม่ให้ดูถูกแม่ ดูแคลนแม่ ต่าง ๆ นานาเที่ยวบอกใครต่อใครว่าพ่อก็ไม่มี แม่ก็ไม่รัก

     เลยเข้าทางนายบาปพ่อค้าขายลูกชิ้นทอดหน้าโรงเรียน ทำเป็นรักใคร่ใยดีเสมอพ่อยื่นข้อเสนอว่าจะให้ 50 บาทแต่ต้องทำอะไรบางอย่างแค่นี้ก็รู้แล้วเนาะน้องเสียรู้เสียตัว แลกตังค์ 50 บาท เท่ากับค่าบัตรเติมเงิน

     จากนั้นพ่อค้าลูกชิ้นถือไพ่เหนือกว่า จึงบังคับให้มีอะไร ๆ กับมันมาโดยตลอด แถมยังไปโฆษณาสรรพคุณจาก 1 จึง กลายเป็น 2 3 4 5จากพ่อค้าลูกชิ้น กลายเป็น ภารโรง พ่อค้าไอติม คนในแวดวงของมันกระทั่งครู

     ชีวิตตกอยู่ในหลุมดำ ถลำลึก จนกลายเป็นที่กล่าวขวัญของกลุ่มหนุ่มใหญ่กลัดมันเมื่อมีความต้องการมาก แต่ไม่มีตัวเลือก จึงเกิดการบังคับให้น้องชวนเพื่อนที่หลงผิด ติดสบายให้มาอยู่ในวังวนนี้ด้วยเด็กผู้หญิงหลายคน กระโจนเข้าในวงจรนี้เพียงเพราะ “อยาก” อยากได้นั่น อยากได้นี่ อยากได้ง่าย ๆ จึงยอมขายในสิ่งที่ควรจะสงวน

      วันที่ได้เจอแม่ลูกคู่นี้.แม่มีความกล่ำทุกข์.สุดชีวิตฟูมฟายก่นด่าแต่ตัวเอง ที่ไม่สามารถดูแลพ่อ และเลี้ยงลูกให้หมดจดงดงามตามความฝันของตนได้

     อยากบอกพ่อๆแม่ๆทุกคนด้วยความรักและห่วงใยว่า.ความรักลูกอย่างนี้น่าเป็นห่วงนะเป็นความรักที่ทำให้ลูกอ่อนแอเพราะให้“ความรักแก่ลูก “ ด้วยการประเคนความสุข ความสะดวกสบาย และวัตถุมากมายจนล้น

       รักแบบนี้ไง จึงทำให้ลูกประมาณความรักของแม่จากวัตถุสิ่งของ และความสะดวกสบายที่ได้ให้มาก ได้มากถือว่ารักมากให้น้อย ได้น้อยถือว่ารักน้อยให้สิ่งของที่มีราคาแพงแสดงถึงความรักมีค่าราคาสูงแต่ถ้าให้สิ่งของที่มีราคาถูก ลูกก็ถูกประเมินค่าความรักของพ่อแม่ที่มีนั้นลดหลั่นลงไป
เมื่อไม่ให้.ก็ตีความได้แค่ไม่รัก

     ห่วงใยมาก ๆโดยเฉพาะพ่อแม่ที่เคยยาก เคยลำบากมาก่อน ก็เลยไม่ต้องการให้ลูกพานบกับความยากลำบากใด ๆ ในชีวิต อะไรที่เคยขาด ก็ไม่อยากให้ลูกขาดเหมือนตนในอดีต ให้ ให้ ให้ เปรอปรนซะจนลูกหยิบโหย่ง ติดสบาย สุขนิยมเพราะอะไรๆ ในชีวิตดูเพียบพร้อม

     เด็ก ๆ สมัยนี้จึงสัมผัสแต่ภาพที่สวยงาม แล้วหลงยึดติดอยู่กับผลสำเร็จภายนอก ไม่เห็นถึงความมานะพยายามที่แท้จริงที่เป็นเบื้องหลังความสวยงามและความสะดวกสบายที่ได้รับ

ด้วยรักดอก..จึงบอกให้
จากใจ “ตุ๊บปอง”

     เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป ปัจจบันเป็น กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก ทำงานกับเด็กมาเกือบ 30 ปี ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจทั้งหมดให้กับเด็กน้อยด้อยโอกาส เขียนนิทานเพื่อเด็กออกมาหลายเล่ม อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจ 

   ว่ากันว่า 17 ปีที่เขาที่ได้ทำงานกับมูลนิธิเด็ก ประสบการณ์สอนให้มองเหตุ และผล การแก้ปัญหาต้องจัดการที่ต้นเหตุ ก่อนมาทำงานกับมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็กในปี 2549 เพื่อให้เด็กมีพื้นฐานการอ่าน เพราะเชื่อเสมอว่า “เมื่อเด็กมีพื้นฐานการอ่าน เด็กจะมีทักษะชีวิตที่ดีในอนาคต”  

    เริ่มเขียนงานชิ้นแรกตั้งแต่อายุ 11 ปี (ป.5) ใช้ชื่อว่า“กระต่ายตื่นตูม” ปี 2547“กระต่ายตื่นตูม” ได้ถูกนำเอามาผลิตเป็นหนังสือภาพอีกครั้ง ต่อมาเขียน “สร้างลูกรัก ให้เป็นนักอ่าน” ได้แรงบันดาลในใจมาจากทุกประสบการณ์ และทุกความรู้สึก ที่ถูกถ่ายทอดมาจากครอบครัว และอีกหลายเล่ม