
“โรงเรียนผู้สูงอายุ”นวัตกรรมจากชุมชน
“โรงเรียนผู้สูงอายุ”นวัตกรรมจากชุมชน เครื่องมือเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่สังคมสูงวัย
ปัจจุบันกว่า6.2ล้านคนเป็นประชากรผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ17.5เมื่อเทียบผู้สูงอายุกับวัยแรงงานพบว่ามีอัตราการพึ่งพิงผู้สูงอายุร้อยละ26.6 ซึ่งหมายถึงประชากร10คนจะต้องรับผิดชอบดูแลผู้สูงอายุ2.6 คน
ประเด็นผู้สูงอายุ ถือเป็นประเด็นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสนใจเป็นลำดับต้นๆ เนื่องจากตัวเลขจำนวนผู้สูงอายุที่กำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2558 พบว่ามีถึงกว่าสิบล้านคน
รวมถึงในเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ที่ดำเนินงานด้านสุขภาพร่วมกับ สำนักงานกองทุนสสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.พบว่า ปัจจุบันกว่า 6.2 ล้านคน เป็นประชากรผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบผู้สูงอายุกับวัยแรงงาน พบว่ามีอัตราการพึ่งพิงผู้สูงอายุร้อยละ 26.6 ซึ่งหมายถึงประชากร 10 คนจะต้องรับผิดชอบดูแลผู้สูงอายุ 2.6 คน โดยในส่วนของความเจ็บป่วยและสุขภาพ ผู้สูงอายุในเครือข่ายฯ ส่วนใหญ่เจ็บป่วยด้วยโรค NCDs ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหินสูง และปวดข้อหรือข้อเสื่อม นอกจากนี้ยังมีโรคหัวใจ โรคมฟะเร็งและโรคไตวาย เป็นต้น
ขณะที่ปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุที่สูงเป็นอันดับแรก คือการเคลื่อนไหว ร้อยละ 57 รองลงมาคือปัญหาการได้ยินหรือการสื่อความหมาย การมองเห็น การเรียนรู้ ด้านจิตใจหรือพฤติกรรม และด้านสติปัญญาตามลำดับ ขณะที่พฤติกรรมความเสี่ยงด้านสุขภาพ ส่วนใหญ่เป็นการสูบบุหรี่เป็นประจำ รองลงมาคือไม่ได้ออกกำลังกาย และการดื่มสุรา เป็นประจำ
ซึ่งจากการที่ สสส.สำนัก 3 ได้ทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีทุนและศักยภาพเป็นศูนย์จัดการเครือข่ายสุขภาวะชุมชน และในบางแห่งเป็นศูนย์ประสานงานเครือข่ายและจัดการเรยนรู้ผู้สูงอายุ ก็เพื่อเป้าหมายให้ท้องถิ่นสามารถออกแบบการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและมีคุณภาพ และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในอนาคต
อุบล ยะไวทย์ณะวิชัย ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลดอนแก้ว เล่าถึงที่มาการตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุที่ดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ว่า ดอนแก้วมีแนวคิดในเรื่องของ “คน” ว่าเป็นทั้งปัญหาและยังเป็นทั้ง “ทุน” ของชุมชนที่มีศักยภาพได้พร้อมกัน จึงได้มุ่งเน้นการพัฒนาคนในพื้นที่ให้มีจิตสำนึกความเป็นจิตอาสา และมียุทธศาสตร์การดูแลสุขภาวะคนดอนแก้วตลอดชีวิต ตั้งแต่ก่อนเกิด แก่เจ็บและจนถึงหลังเชิงตะกอน โดยใช้มาตรการการพูดคุย ทำความเข้าใจ ตลอดจนการมีส่วนร่วมเป็นเครื่องมือในการควบคุมความประพฤติคนในชุมชนทุกด้าน รวมถึงด้านสุขภาวะที่ดีทั้ง 4 มิติ ครอบคลุมทั้ง 13 กลุ่มเป้าหมาย
การร่วมสร้างนวัตกรรมที่มาจากการมีส่วนร่วมของคนในชุมนที่ร่วมกันดูแลปัญหาสุขภาพทั้งในกลุ่มคนพิเศษ กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ประสบปัญหาทางสังคม ในชุมชน โดยมี “ข่วงกำกึ๊ด” เป็นลานรวมศูนย์กลางทางความคิดของคนในชุมชนที่นำมาสู่ภาคปฏิบัติต่อมา เสริมความแข็งแกร่งด้วยความเชื่อมโยงกับภาคีเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกชุมชน และยังต่อยอดสู่นวัตกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุฮอมสุข ในปี 2557 เพื่อสร้างความยั่งยืน
ซึ่งมีกลยุทธ์ในการดูแลผู้สูงอายุติดสังคมผ่าน 6 ชุดกิจกรรม โดยมีเป้าหมายคือการสร้างผู้สูงอายุ “SMART” สามารถดูแลตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพิงผู้อื่นแต่เพียงอย่างเดียว โดยแบ่งรูปแบบคือ ผู้สูงอายุที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้สูงอายุที่ติดสังคม ผู้สูงอายุที่ติดบ้าน และผู้สูงอายุติดเตียง ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีเครื่องมือในการดูแลแตกต่างกัน
จากความเข้มแข็งในการทำงานด้านดูแลผู้สูงอายุ ยังพัฒนาสู่การจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิกทั้งในด้านการเจ็บป่วยไข้และเสียชีวิต ผ่านการดูแลจิตอาสาผู้สูงวัยในแบบเพื่อนช่วยเพื่อน มีกองทุนทำบุญร่วมขันกองทุนการเรียนครั้งละ 1 บาท รวมถึงส่งเสริมภูมิปัญหาที่สร้างอาชีพจากปราชญ์ชุมชนและผู้สูงอายุช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนอีกทาง
มานพ ยะเขียว นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นอีกหนึ่งต้นแบบชุมชนของเครือข่ายฯ ที่ได้สร้างมิติใหม่ให้กับสังคมผู้สูงอายุในพื้นที่ โดยได้นำร่องจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุเมืองแม่ปะขึ้น ซึ่งปีแรกมีสมาชิกประมาณ 200 คน มีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับตำบลขึ้นมาดูแลโรงเรียนผู้สูงอายุฯ โดยเฉพาะ เพื่อให้ดำเนินการอย่างเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร แม้ในช่วงแรกจะพบปัญหาเรื่องการบริหารจัดการ
โดยหลักสูตรการเรียนการสอนเป็น 3 ระดับ คือชั้นปีที่ 1 ชั้นต้นเน้นการเรียนรู้หลาหลาย มุ่งเป้าหมายรู้จริง เนื้อหาหลักสูตรจึงมีหลากหลาย ตั้งแต่ การดูแลสุขภาพ วิชาพุทธศาสนา ไปจนถึงภาษาและกฏหมายเบื้องต้น ส่วนระดับชั้นปีที่ 2 เป็นการเรียนรู้ในเชิงลึก เน้นการปฏิบัติจริง โดยมีเป้าหมาย “ปฏิบัติได้” ครอบคลุมในทุกมิติ ต่อมาชั้นปีที่ 3 คือหลักสูตรชั้นสูงสุด เน้นการถ่ายทอดเป็น สร้างผู้สูงอายุต้นแบบ ที่สามารถทั้งในเชิงการวิเคราะห์ และนำความรู้มาใช้ประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้
ผู้จบการศึกษาจากโรงเรียนผู้สูงอายุเมืองแม่ปะได้ต้องผ่านการเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของหลักสูตร และต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนจัด 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย รวมถึงต้องลงถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชนหนึ่งสัปดาห์
แต่เนื่องจากประชาชนในพื้นที่มีความหลากหลายและยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงบุคลากรที่ขาดความชำนาญในการทำงานเชื่อมโยง จึงสรรหาและตั้งประธานกิจกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุขึ้นเพื่อเป็นแกนกลางเชื่อมโยงการทำงานและระดมพลผู้สูงอายุให้เป็นหน่วยเดียวกัน โดยจากการดำเนินกิจกรรมมาตั้งแต่พฤศจิกายน 2556 ปัจจุบันพบว่าคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชุมชนดีขึ้น มีอาการซึมเศร้าและโรคอัลไซเมอร์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และมีพฤติกรรมใหม่กล้าแสดงออก เข้าสังคม รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น รวมถึงสามารถพัฒนาศักยภาพตนเองสู่การเป็นจิตอาสาที่คอยถ่ายทอดความรู้แก่เยาวชนและคนในพื้นที่อย่างเต็มตัว และยังเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุเพิ่มในจุดต่างๆ จนปัจจุบันแม่ปะมีโรงเรียนผู้สูงอายุรวม 5แห่ง คือวัดใหม่คำมา วัดแม่ปะเหนือ วัดเวฬุวัน และสำนักสงฆ์ล้านนาบุญญาราม โดยเปิดเรียนคนละวันตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ หลังเลิกเรียน นักเรียนผู้สูงอายุที่เป็นจิตอาสาจะออกเยี่ยมเพื่อนผู้สูงอายุที่ปวยติดเตียง เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และมาร่วมกันออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเป็นประจำ