
ช็อค!คนไทยศัลยกรรมกันมั่วซั่ว ไม่ได้ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ช็อค!คนไทยทำศัลยกรรมกันมั่วซั่ว ไม่ได้ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เผยไทยมี "คลินิกศัลยกรรมเสริมความงาม"ล้นประเทศ แต่แพทย์เชี่ยวชาญมีแค่ 320 คน ย้ำปชช.อย่าดูแค่รีวิว
รศ.นพ.ศิรชัย จินดารักษ์ นายกสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย กล่าวในงานเสวนา "สุดยอดนวัตกรรมด้านศัลยกรรมตกแต่ง จริง! หรือ ลวง! เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย" ภายในการประชุมวิชาการนานาชาติ 18th ACPS2017 โดยมีศัลยแพทย์ตกแต่งนานาประเทศ เช่น บรูไน กัมพูชา ลาว พม่า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น ตรุกี สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย เป็นต้น เข้าร่วมว่า ปัจจุบันคลินิกศัลยกรรมเสริมความงามมีจำนวนมาก แต่ศัลยแพทย์ตกแต่งในประเทศไทยมีเพียงประมาณ 320 คนเท่านั้น แต่ละปีผลิตได้เพียง 20 กว่าคน การรับบริการศัลยกรรมเสริมความงามบางส่วนจึงไม่ได้ทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม แพทย์ที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมีความเชี่ยวชาญสาขาอื่น สามารถทำศัลยกรรมเสริมความงามได้ ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้มีการห้ามว่าต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงสามารถทำได้ เนื่องจากพื้นฐานของประเทศไทยยังขาดแคลนแพทย์ หากกำหนดว่าแพทย์เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงทำได้ก็จะเกิดผลกระทบ เช่น โรงพยาบาลอำเภอมีแพทย์คนเดียว หากกำหนดเช่นั้นก็คงไม่สามารถทำคลอด ที่ต้องเป็นสูตินรีแพททย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงทำได้ เป็นต้น แต่หากอยู่ในบริบทที่มีแพทย์ครบทุกสาขาในทุกพื้นที่แล้วจึงมากำหนดจึงถือว่าเหมาะสม
"การศัลยกรรมเสริมความงามก็ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคือ ศัลยแพทย์ตกแต่ง แต่จากการเปิดกว้างดังกล่าวทำให้แพทย์ทั่วไปหรือแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นก็สามารถทำได้ ดังนั้น ประชาชนต้องพิจารณาเลือกให้ดี ซึ่งหากเป็นเพียงศัลยกรรมเสริมความงามที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น การตัดไฝ เป็นต้น ก็อาจทำโดยแพทย์ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญได้ แต่หากเป็นการทำศัลยกรรมที่มีการลงลึก เช่น มีการผ่าตัดใหญ่ การดูดไขมัน เป็นต้น ตรงนี้ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะมีการเรียนมาโดยเฉพาะ ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อใช้ทนครบ 3 ปีก็จะเรียนต่อศัลยกรรมตกแต่งอีก 5 ปี หรือบางส่วนใช้ทุน 1 ปี ไปเรียนศัลยกรรมทั่วไป 4 ปี ก็จะมาเรียนต่อศัลยกรรมตกแต่งอีก 3 ปี" รศ.นพ.ศิรชัย กล่าว
รศ.นพ.ศิรชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้แพทยสภาได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาว่า ศัลยกรรมเสริมความงามประเภทใดที่แพทย์สาขาอื่นสามารถทำได้ หรือประเภทใดที่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะพิจารณาจากความยากง่ายของการศัลยกรรมเสริมความงาม อย่างไรก็ตาม ประชาชนต้องศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองด้วย ไม่ใช่เพียงดูจากการรีวิวหรือการเชียร์ของคนอื่นว่าคลินิกนั้นดี แพทย์คนนี้เก่ง ต้องศึกษาให้ลึกถึงความเชี่ยวชาญของแพทย์คนนั้นว่าเชี่ยวชาญจริงหรือไม่ ตรงสาขาจริงหรือไม่ เพราะปัจจุบันจะมีแพทย์ที่ไปอบรมเพียงไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่วัน ก็เอาใบประกาศมาเคลมว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งตรงนี้สามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์แพทยสภา และเว็บไซต์ของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
ด้านศ.คลินิก นพ.อภิรักษ์ ช่วงสุวนิช ศัลยแพทย์ตกแต่ง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล กล่าวว่า การเรียนเฉพาะทางของศัลยแพทย์ตกแต่งจะใช้เวลา 5 ปี ถือว่านานที่สุดในการเรียนเฉพาะทางด้านอื่นๆ เนื่องจากต้องการให้มีความรู้พื้นฐานเพื่อการแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ส่วนที่มีนวัตกรรมต่างๆ ออกมานั้นเป็นเรื่องของการใช้ชื่อเพื่อการโฆษณามากกว่า ส่วนทางด้านเทคนิคหรือด้านวิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้มีความใหม่หรือแตกต่างกันเลย
นพ.สงวน คุณาพร ศัลยแพทย์ตกแต่งประจำโรงพยาบาลสิริโรจน์ จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ผู้ป่วยที่นิยมมารับบริการในประเทศไทย ส่วนใหญ่มาตามระบบเมดิคัล ทัวร์ลิซึม และส่วนใหญ่ที่นิยมมาทำคือ ศัลยกรรมความงาม ซึ่งมาจากทั่วทุกมุมโลก แต่มากที่สุดคือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ และแคนาคา ส่วนประเทศจีนก็เริ่มมามากขึ้น ซึ่งจากการคุยกับผู้ป่วยพบว่า มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของศัลยแพทย์ไทย เพราะมีการเรียนด้านการศัลยกรรมตามแนวทางแพทย์ตะวันตกมานาน มีการรักษาผู้ป่วยศัลยกรรมซ่อม เสริมสร้างมาก่อน เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก อุบัติเหตุ เป็นต้น ก่อนจะมาทำเรื่องของศัลยกรรมความงาม สำหรับจำนวนคลินิกศัลยกรรมเสริมความงามในไทยถือว่ามีมาก เริ่มจากออนไลน์ มีเอเจนซี มีแพคเกจ โดยใน กทม.มีระดับพันแห่ง ต่างจังหวัดหลายพันแห่ง แต่สังคมกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่มีศัลยแพทย์ตกแต่งเพียง 320 คนเท่านั้น