
จดหมายจากขั้วโลกใต้
ดร.ประหยัด นันทศีล นักธรณีวิทยาและอาจารย์มก. ผู้เข้าร่วมคณะสำรวจทวีปแอนตาร์กติก ญี่ปุ่นปี 2559-2560 รายงานความคืบหน้าการสำรวจจากขั้วโลกใต้ ก่อนกลับไทย22มี.ค.
จดหมายจากขั้วโลกใต้ โดย ดร.ประหยัด นันทศีล พบภาวะโลกร้อนส่งผลต่อเพนกวินและหมีขาว เผยแพร่โดย นางผกามาศ ธนพัฒนพงศ์ ประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ส่งเมล์มาถึง โต๊ะการศึกษานพส.คมชัดลึก มีเนื้อหาว่า
000 สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันรองสุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่สถานีโชวะของญี่ปุ่นซึ่งอยู่บนเกาะอองกูลตะวันออก และเกาะนี้อยู่ในอ่าว Lützow-Holm Bay ทางด้านตะวันออกของทวีปแอนตาร์กติกหรือหากจะเรียกให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือขั้วโลกใต้นั่นเองครับ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้ พวกเราก็จะออกเดินทางจากที่นี่มุ่งหน้ากลับไปยังเมืองซีดนีย์ ของออสเตรเลีย เราจะถึงที่นั่นวันที่ 20 มีนาคม 2560 แล้วผมจะกลับถึงประเทศไทยวันที่ 22 มีนาคม 2560จนถึงขณะนี้พวกเราเก็บข้อมูลและตัวอย่างหินจากพื้นที่เป้าหมายได้เกือบครบทุกแห่งมีเพียงแห่งเดียวที่ต้องยกเลิกไปเพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
ถึงแม้ผมจะมาทำวิจัยด้านธรณีวิทยาและตัวอย่างที่ผมเก็บกลับมาคราวนี้ก็บันทึกแต่เรื่องราวที่เกิดมานานแล้วไม่น้อยกว่า 500 ล้านปี แต่สิ่งที่ผมอยากเขียนให้คนไทยได้อ่านเป็นเรื่องของนกเพนกวินที่ขั้วโลกใต้ หมีขาวที่ขั้วโลกเหนือและเรื่องของเราทุกคน คือ "ภาวะโลกร้อน" ครับ หลายท่านอาจสงสัยว่าผมเป็นนักธรณีวิทยาแล้วไปยุ่งอะไรกับเรื่องโลกร้อน มันไม่น่าจะใช่ธุระของนักธรณีวิทยานะ ผมขอเรียนว่าท่านคิดผิดแล้วครับไว้ตอนท้ายผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไม
มาเริ่มกันด้วยเรื่องของนกเพนกวินที่น่ารักกันครับ ผมได้คุยกับนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นซึ่งเขามาศึกษาเรื่องเพนกวินในพื้นที่เดิมทุกปี เขาเล่าให้ฟังว่าช่วงหน้าร้อนของทุกปีคือช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงต้นมกราคมนั้นเป็นเวลาที่นกเพนกวินจะตกไข่ซึ่งโดยส่วนใหญ่แม่นกเพนกวินจะตกไข่ทีละสองฟอง พอไข่ฟักออกมาพ่อแม่ก็จะสังเกตว่าลูกนกตัวไหนแข็งแรงกว่าก็จะดูแลเอาใจใส่เฉพาะตัวนั้น
ส่วนลูกนกตัวที่อ่อนแอก็จะปล่อยให้อดตายหรือไม่ก็ปล่อยให้นก Skua ที่ชอบกินลูกนกเพนกวินมาฉกไปกินเป็นอาหารอันโอชะเพราะการเลี้ยงลูกทีละสองตัวเป็นเรื่องยากมากครับ ดังนั้นลูกนกเพนกวินแต่ละรุ่นจะรอดตายเพียงครึ่งหนึ่งหรือมากว่าครึ่งเพียงนิดหน่อย อาจฟังดูเป็นเรื่องโหดร้ายแต่นั่นเป็นกลไกทางนิเวศวิทยาที่มีอยู่ในธรรมชาติเพราะฉะนั้นพวกเขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวทำได้เพียงสังเกตและเก็บข้อมูลตามปกติ
แต่ปีนี้มีสิ่งที่แปลกไปจากทุกปีคือแผ่นน้ำแข็งในทะเลได้ละลายหายไปจากชายฝั่งบริเวณนั้น ทำให้พ่อแม่นกเพนกวินไม่ต้องเดินบนแผ่นน้ำแข็งเพื่อออกไปหาอาหารเป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตรเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว พวกมันเพียงเดินไปที่ชายฝั่งซึ่งก็อยู่ห่างจากรังเพียงไม่เกินหนึ่งกิโลเมตรก็สามารถกระโจนลงน้ำแล้วมีอาหารมากมายให้กิน แล้วก็เดินกลับมาป้อนลูกที่รัง
ด้วยเหตุนี้ลูกนกเพนกวินที่เกิดในปีนี้จึงมีอัตราการรอดตายสูงมากเป็นประวัติการณ์คือเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ และมีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วมากเพียงแค่สามถึงสี่สัปดาห์ก็สามารถโตเต็มวัยและผลัดขนได้แล้ว นั่นแปลว่ามันก็จะอยู่รอดในหน้าหนาวที่กำลังมาถึงได้แล้ว ฟังดูเป็นเรื่องน่ายินดีนะครับ ผมเองก็ยินดีมากที่ทราบอย่างนี้
แล้วนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นคนนี้ก็เล่าต่อว่า แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับนกเพนกวินกำลังเกิดขึ้นกับหมี ขาวที่ขั้วโลกเหนืออยู่ขณะนี้ครับ เพราะน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลายเป็นจำนวนมากกว่าปกติทำให้หมีขั้วโลกกำลังประสบปัญหาในการล่าเหยื่อ ปกติเหยื่อของหมีขาวขั้วโลกเหนือคือพวกแมวน้ำหรือลูกสิงโตทะเล และสภาพที่เอื้อให้หมีขาวล่าเหยื่อได้ดีที่สุดก็คือการมีแผ่นน้ำแข็งที่กว้างใหญ่และแข็งแรงหนาพอให้มันเดินได้ เพราะมันวิ่งเร็วกว่าเหยื่อถ้าเป็นแผ่นน้ำแข็งแต่ถ้าแข่งกันว่ายน้ำละก็ หมีขาวไม่มีทางไล่ทันพวกแมวน้ำหรือสิงห์โตทะเลหรอกครับ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ปีนี้หมีขาวที่ขั้วโลกกำลังอดอยากและตายเป็นจำนวนมาก
ทั้งเรื่องของเพนกวินที่ขั้วโลกใต้และเรื่องของหมีขาวที่ขั้วโลกเหนือเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน แม้จะอยู่กันคนละขั้วของโลกแต่มันเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องของน้ำแข็งที่ละลายมากกว่าปกติ แล้วสาเหตุที่น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากกว่าปกติเพราะโลกร้อนขึ้นครับ เราๆท่านๆ อาจได้ยินได้ฟังเรื่องของโลกร้อนมามากจนเริ่มชินเหมือนเป็นเรื่องปกติและเหมือนจะไม่ใช่ธุระของเราไปซะแล้ว
วันนี้ผมอยากเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่าโลกร้อนไม่ใช่เรื่องของเพนกวินกับหมีขาวเท่านั้น แต่มันคือเรื่องของพวกเราทุกคน มันเป็นธุระของมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ หลายท่านอาจคิดว่าเราไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับหมีขาวด้วยไม่เห็นต้องสนใจปัญหาโลกร้อนเลย แต่ผมอยากเรียนให้ทุกท่านทราบว่า ท่านคิดผิดครับ
ถ้าท่านคิดว่าท่านไม่เดือดร้อนแสดงว่าท่านหลอกตัวเองหรือไม่ก็ "ไม่ทันรู้ตัว" เท่านั้น ไม่ต้องดูไหนอื่นไกลครับ ดูประเทศไทยเรานี่แหละ เดือนธันวาคมที่ผ่านมาเราเพิ่งประสบภัยน้ำท่วมและอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้ เราก็จะได้เห็นภัยแล้ง เวลาน้ำฟ้าไม่มาก็ไม่มาซักทีแต่พอบทจะมาก็เทลงมาจนท่วมเป็นอย่างนี้ทุกปี อย่างนี้เราเรียกว่าไม่เดือดร้อนหรือเปล่าครับ
ขอยกอีกตัวอย่างที่ใกล้ตัวพวกเราเหมือนกันคือ น้ำทะเลมีระดับสูงขึ้น ปัญหาที่ตามมาคืออะไร น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง เป็นตัวอย่างที่พี่น้องคนไทยที่อยู่ตามชายฝั่งทราบดีที่สุด เมื่อก่อนเรามีส้มบางมด เดี๋ยวนี้หายไปแล้วเพราะน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นและแน่นอนแผ่นดินเราก็ทรุดลงด้วย เราเสียหายปีละหลายร้อยล้านเพราะโลกร้อนขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องของเพนกวินและหมีขาวครับ สุดท้ายนี้ผมอยากบอกคนไทยทุกคนว่าเรื่องโลกร้อนไม่ใช่เรื่องของนักสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกนี้
วันนี้เราจะไม่สนใจเรื่องโลกร้อนไม่ได้อีกแล้วครับ แล้วเราควรทำอย่างไร ผมคงจะไม่กล่าวในที่นี้เพราะคงจะยาวเกินไปและทางการก็รณรงค์กันสารพัดอยู่เป็นประจำแล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนรับทราบและวันนี้ก็ถึงวันที่แต่ละคนต้องลงมือทำสิ่งที่ทางการรณรงค์แล้วครับเพราะเรากำลังเดือดร้อนไม่ต่างจากหมีขาวที่ขั้วโลกเหนือ หากเราละเลยไม่สนใจ รุ่นลูกรุ่นหลานของเราคงต้องย้ายเมืองหลวงกันในสักวัน สวัสดีครับ