ไลฟ์สไตล์

จิตแพทย์ไขข้อข้องใจ "โรคอยากขโมย"

จิตแพทย์ไขข้อข้องใจ "โรคอยากขโมย"

26 ม.ค. 2560

จิตแพทย์ไขข้อข้องใจ "โรคอยากขโมย" สาเหตุ-วิธีการป้องกัน-รักษา

      นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษา กรมสุขภาพจิต บอกว่าจากกรณีข่าวเรื่องบุคคลมีชื่อเสียงไปหยิบของในโรงแรมจนถูกจับได้ทำให้คำว่า “โรคอยากขโมย” (Kleptomania) กลับมาดังอีกครั้งหนึ่ง

 

    โรคอยากขโมยอยู่ในกลุ่มความผิดปกติของการควบคุมตนเอง (Impulse Control disorder) ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มนี้ไม่สามารถที่จะควบคุมความอยากของตนเองได้ เช่น การหยิบของ (ขโมย) การกิน การกัดเล็บ การจุดไฟ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกลุ่มเสพติดพฤติกรรม เช่น การเสพติด internet, การเสพติด shopping , ติดการพนัน และพฤติกรรมเรื่องอื่นๆ เป็นต้น

 

      โรคอยากขโมย เริ่มระบาดหนักในยุคที่ศูนย์การค้าเติบโตราวดอกเห็ด เป็นสิ่งแวดล้อมหรือปุ๋ยที่ทำให้เกิดการขยายตัวของโรคนี้ทั่วโลก ซึ่งถือว่าเป็นโรคของสังคมนิยมบริโภค

 

       ภาวะนี้มักจะเกิดกับบุคคลที่มีความความเครียดหรือความกดดันในตนเอง หากพบเจอสิ่งที่อยากได้จะยิ่งทำให้เกิดความเครียดและว้าวุ่นใจสูงขึ้น ซึ่งหากหยิบสิ่งของมาได้โดยไม่ถูกจับก็จะเกิดการผ่อนคลาย ทำให้เป็นการเรียนรู้ที่จะทำครั้งต่อๆไปจนกลายเป็นโรค โดยมามักเริ่มตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาวและติดมาจนเป็นผู้ใหญ่

 

      โรคนี้ต่างกับคนที่จงใจขโมยโดยความจำเป็น เช่น ขาดแคลนหรือโดยการวางแผนไว้ก่อนแล้ว แต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทันทีขณะดูสิ่งของและควบคุมตัวเองไม่ได้ที่จะแอบหยิบมาหรือขโมย 

 

      โรคนี้รักษาได้ทั้งโดยยาและจิตบำบัด ควรรักษาเสียก่อนจะเป็นปัญหาใหญ่เพราะทุกวันนี้ระบบตรวจจับมีอยู่ทั่วไป และโรคนี้อาจนำไปสู่ความรู้สึกผิด ภาวะซึมเศร้า ติดสารเสพติดและการฆ่าตัวตายได้

 

        โรคนี้ป้องกันได้เนื่องจากคนที่เป็นจะเริ่มจากการหยิบของด้วยความอยาก ซึ่งมีสาเหตุร่วมอยู่ 2 ประการ คือ ความเครียดที่สะสมในจิตใจกับความว้าวุ่นใจขณะมีความอยาก ถ้าจัดการได้ก็จะป้องกันตนเองจากโรคได้ ในทางตรงกันข้ามหากไม่สามารดจัดการได้ก็จะทำซ้ำๆจนกลายเป็นโรคไป ท้ายที่สุดหากถูกจับได้ก็จะยิ่งเสียความรู้สึกและชื่อเสียง

 

      วิธีการป้องกันก็คือ

 1) จัดการกับความเครียดให้ถูกวิธี เช่น ฝึกสมาธิ ฝึกหายใจคลายเครียดเพื่อไม่ให้มีความเครียดสะสม

 2) จัดการกับความว้าวุ่นใจขณะเกิดความอยาก เช่น ตั้งสติโดยรู้ลมหายใจ หยิกตัวเองให้กลับมารู้ตัว เป็นต้น และควรออกไปจากสถานที่นั้นโดยเร็ว

 

     หากผู้คนเกิดความเครียดสะสมมากๆ ไม่เฉพาะโรคนี้เท่านั้น ยังมีปัญหาสุขภาพจิตอื่นตามมาอีก เช่น ปัญหาความรุนแรง ปัญหาการฆ่าตัวตาย ปัญหาการติดยา ฯลฯ ดังนั้นพวกเราต้องมาช่วยกันจัดการความเครียดให้ถูกวิธี ร่วมไปกับการสร้างสังคมอย่างไรให้ไม่เครียด.

 

     สุดท้ายที่อยากขอร้องคือการลงข่าวของสื่อมวลชนรวมทั้ง social mediaในกรณีที่เกิดขึ้น ควรเคารพในสิทธิส่วนบุคคลและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การพาดหัวข่าวลงภาพและประวัติส่วนตัวดูจะเกินเลย รวมทั้งน่าจะละเมิดจริยธรรมสื่อด้วย และไม่ค่อยให้ความรู้ ความเข้าใจที่จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้อ่านที่ควรตระหนักว่าโรคอยากขโมยเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และมีสาเหตุที่ซับซ้อนเกี่ยวข้อง อะไร

       ทั้งด้านการทำงานของสมอง การเรียนรู้ ความเครียด ตลอดจนภาวะสังคมด้วยจึงไม่ควรตรีตราว่าผิดบาป แต่สร้างความเข้าใจ ความตระหนัก เตือนสติให้กับคนในสังคมในการเข้าใจการดำเนินชีวิต และกระตุ้นให้กลุ่มที่เสี่ยงป้องกันและหาทางแก้ไขต่อไป