
สทศ.เผยเด็กไทย50%สอบGATได้คะแนนไม่ถึงครึ่ง
สทศ.เผยผลวิเคราะห์GAT/PATระบุเด็กม.6 สอบได้คะแนนสูงกว่า ม.5 แจงพื้นแน่นกว่า ชี้เด็กไทย 50% สอบGATได้คะแนนไม่ถึงครึ่ง สะท้อนโรงเรียนขาดการสอนคิดวิเคราะห์ ฝาก ร.ร.ฝึกการอ่าน ตั้งคำถามว่าทำไม ลดเนื้อหาลงบ้าง ขณะที่คะแนน PAT มีเพียง 10% ที่ 200-300 ในการสอบทั
เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2552 เวลา 11.30 น. ที่อาคารพญาไทพลาซ่า ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) เปิดเผยถึงผลวิเคราะห์คะแนนความถนัดทั่วไป หรือGAT และความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ หรือPAT ครั้งที่1/2552 เดือนมี.ค.และครั้งที่2/2552 เดือนก.ค.ที่ผ่านมา ว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบครั้งที่ 2/2552 สูงขึ้นในวิชา GAT,PAT5 ความถนัดทางวิชาชีพครู,PAT 6 ความถนัดทางด้านศิลปกรรม และPAT7 ความถนัดทางด้านภาษาต่างประเทศ โดยแบ่งเป็น PAT7.2 ความถนัดทางภาษาเยอรมัน, PAT7.3 ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น,PAT7.4 ความถนัดทางภาษาจีน,PAT7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับ
และ PAT7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี ส่วน PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์ ,PAT2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์, PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์,PAT4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ , PAT7.1ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส, PAT7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับและ PAT7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี คะแนนเฉลี่ยลดลง
ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวอีกว่า การสอบครั้งที่ 2/2552 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทำคะแนนได้ต่ำกว่านักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 เกือบทุกวิชา ซึ่งเหมือนกับการสอบครั้งที่1/2552 อีกทั้ง การสอบ ครั้งที่ 2/2552 นักเรียนที่สอบครั้งแรกทำคะแนนได้ต่ำกว่านักเรียนที่สอบสองครั้งทุกวิชา โดยอาจมีสาเหตุจากเรื่องประสบการณ์ต่ำโดยการสอบครั้งที่ 1/2552 ผู้เข้าสอบเป็นนักเรียนม.5 ที่เพิ่งเรียนมาไม่กี่เดือน เทียบกับการสอบครั้งที่2/2552 เป็นม.5 ที่สอบครั้งที่สอง ส่วนสาเหตุ คาดว่านร.ที่สอบทั้ง 2 ครั้ง เคยมีประสบการณ์ในการสอบ ทำให้ทำคะแนนได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ไม่สามารถบอกได้ว่าการสอบครั้งมากขึ้น จะทำให้เด็กมีคะแนนสูงขึ้น รวมทั้งยังมีผู้เข้าสอบเป็นนักเรียนม.6 ร่วมอยู่ด้วย
“การสอบทั้ง 2 ครั้ง พบว่าเด็กทำคะแนนในทุกๆ วิชาได้ไม่ผ่านเกือบทั้งประเทศ เท่ากับว่าเด็กสอบแข่งขันในเกณฑ์คะแนนที่ต่ำ โดยเฉพาะข้อสอบ GAT พบว่า 50% ได้คะแนนไม่ถึงครึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงการเรียนการสอนของโรงเรียนและที่ บ้านว่า สอนให้เด็กอ่าน และ คิดวิเคราะห์ เป็นมากน้อยเพียงใด เพราะ ข้อสอบ GATถือเป็นข้อสอบที่ใช้สอบคัดเลือกไม่ใช่ข้อสอบวัดศักยภาพเหมือนโอเน็ต และเน้นการคิดวิเคราะห์ การที่เด็กได้คะแนนน้อยสะท้อนให้เห็นว่าโรงเรียนไม่ได้สอนให้เด็กคิด วิเคราะห์เป็น ซึ่งเรื่องนี้คงต้องกลับมาทบทวน โรงเรียนการเรียนการสอนโดยสอนให้เด็กตั้งคำถามว่า ทำไม เพื่อฝึกการวิเคราะห์ไม่ใช่สอนแต่เนื้อหา ลดเนื้อหาให้น้อยลงแต่ให้เด็กได้คิดมากขึ้น การสอบGAT และPAT เป็นการสอบคัดเลือกไม่ใช่การสอบเพื่อวัดศักยภาพเหมือนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต แต่การที่คะแนนออกมาต่ำฟ้องว่าการคัดเลือกของมหาวิทยาลัยจะได้เด็กหางครีมเข้าไป แต่ก็ถือว่าเขาเป็นเด็กที่สอบผ่านการคัดเลือก”ผอ.สทศ.กล่าว
ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวต่อไปว่า ในการสอบ GAT 1 ซึ่งเป็นส่วนของการคิดวิเคราะห์ พบว่า เด็กสามารถสอบในส่วนนี้เต็ม 150 คะแนนในการสอบทั้ง 2 ครั้ง โดยที่สทศ.ได้มีโอกาสพูดคุย พบว่า เป็นนักเรียน ร.ร.สตรีวัดมหาพฤฒารามในพระบรมราชินูปถัมภ์ ชื่อ น.ส.ยุวพร เกษจุฬาศรีโรจน์ และจากการสอบถาม เด็กไม่ได้กวดวิชา มีวิธีการเรียนคือเรียนไปทบทวนไป ที่สำคัญคือ การสอนของทางบ้าน ซึ่งพ่อจะสอนให้อ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก และฝีกตั้งคำถามจากการอ่าน และสอนให้แสวงหาความรู้ ซึ่งเป็นการสอบ GAT ให้ได้ดี ต้องมีการฝึกอ่าน คิด วิเคราะห์ ที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก ส่วนPAT ถ้าได้คะแนนสูงจะสะท้อนว่าเขามีความรู้ความสามารถที่จะไปเรียนในสาขาที่เลือกได้ประสบความสำเร็จ แต่คะแนนที่ออกมา มีเพียง 10% ที่ 200-300 ในการสอบทั้ง 2 ครั้ง
ผอ.สทศ. กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีข้อซักถามถึงการสอบหลายครั้งแล้วทำให้คะแนนสอบดีขึ้นใช่หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นคือ การเรียนชั้น ม.6 มีความรู้ที่มากกว่าม.5 ซึ่งทำให้ได้คะแนนสูงกว่า ขณะเดียวกันผู้เข้าสอบที่ระดับการศึกษาสูงกว่า ม.6 ก็ได้คะแนนสูงกว่าเด็กที่กำลังเรียนม.6 ดังนั้น ม.4 และ ม.5 ความรู้ก็จะยังไม่เพียงพอเท่ากับม.6