
รู้ทันตัณหา
พระพุทธเจ้า ทรงสอนให้เราพิจารณาตัณหา เพื่อจะรู้ตัณหา มันเป็นธรรมชาติเหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจตัณหา ไม่รู้เรื่องตัณหาเป็นอย่างไร ตัณหาจะหลอกเราได้ เราจะเป็นทาสของตัณหาได้ เพราะเราไม่รู้จัก
สิ่งที่เราไม่รู้จัก มันจะหลอกเราได้ จะทำให้เรามีความทุกข์มากได้
แต่ถ้าหากว่า เราใช้สติปัญญา พุทโธ คือ ระลึกปัจจุบัน พิจารณาปัจจุบัน เมื่อมีความทุกข์ที่เกิดขึ้น มีตัณหาอยากได้ อยากรับประทานอาหารตอนเย็น หรือมีอะไรเป็นกามตัณหา ตัณหาในกามทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และมีภวตัณหา อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากกลายเป็นอะไร
และวิภวตัณหา ไม่อยากให้เป็น ก็พิจารณาดู ทำอย่างนี้ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ รู้ตัณหาว่า เป็นตัณหา และไม่ใช่ทำลายตัณหา เป็นผู้รู้ตัณหา
ตัณหาเป็นธรรมชาติในโลกนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอาจารย์สอนเราว่า ตัณหามันเป็นอย่างนี้
อาตมาก็พยายามปฏิบัติอย่างนี้หลายปี เวลามาเมืองไทยครั้งแรก ปี ๒๕๐๙ มากรุงเทพฯ แล้วไปปฏิบัติที่วัดมหาธาตุฯ คณะ ๕ สมัยนั้น มีศรัทธาแล้วในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติ
ตอนนั้นไม่มีอาจารย์ ไม่มีใครสอนเรื่องการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ไม่มีใครสอนเรื่องพิจารณาอริยสัจ ๔ แต่เคยอ่านหนังสือหลายสิบเล่ม มีเรื่องพุทธศาสนา เป็นมหายาน เป็นเซน ที่เคยพิมพ์ในเวลานั้น เมื่อ ๔๐ ปีมาแล้ว หนังสือพุทธศาสนาที่เป็นภาษาอังกฤษหาได้ยาก
อาตมาสังเกต เคยอยู่ในซานฟรานซิสโก ไปหาหนังสือเรื่องพุทธศาสนาในร้านขายหนังสือ ก็ไม่มากเท่าไหร่
หนังสือที่ซื้อได้ในสมัยนั้น มันทำให้เรามีศรัทธาในคำสอน ศรัทธาที่ยังไม่พิสูจน์ เราก็มีความสนใจ มีศรัทธาในคำสอน แต่ยังไม่รู้จริง เลยสงสัย ยังเป็นทฤษฎีว่า นักปราชญ์ก็พูดเก่งได้
พระพุทธเจ้าคงจะเป็นนักปราชญ์สมัยโบราณ ในประเทศอินเดีย ไม่รู้มันทำได้ หรือมีประโยชน์ หรือจะพิสูจน์ได้
แต่สิ่งที่จับใจอาตมา คือ พระพุทธเจ้าแนะนำให้ปฏิบัติดูเอง เห็นเอง อย่าไปยึดถือคำสอนที่ได้จากพระไตรปิฎก หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านห้ามยึดมั่น ถือมั่น ในคำสอนของท่าน
ท่านแนะนำให้เราจะพิจารณาคำสอนของท่าน เพื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ในจิตใจของเราเอง เหมือนเราพูดถึงพุทโธ พระพุทธเจ้า เราเชื่อพระพุทธเจ้า
มีพระพุทธเจ้านี่ก็ดี ไม่รังเกียจ มีพระพุทธเจ้าก็ดี แต่จะพ้นทุกข์ไม่ได้ จะพ้นทุกข์ เราต้องพิจารณาพระพุทธเจ้า พุทโธเป็นอย่างไร เป็นอะไรในปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นนามธรรม คือเป็นสิ่งที่เราสงสัยได้ ปัจจุบันพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน อาตมาก็รับรู้ อยู่ที่นี่ เป็นผู้รู้
และถ้าสุเมโธไม่ได้เป็นผู้รู้ เราปล่อยวางสุเมโธ ให้อยู่กับสติปัญญา คือ จะอาศัยสติปัญญานี่เป็นที่พึ่งจริงๆ เป็นที่อาศัยกันทั้งอิริยาบถ ๔ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก การนั่ง ยืน เดิน นอน จะอยู่ที่นี่ ปฏิบัติด้วยกัน หรือกลับบ้าน หรืออยู่ในกรุงเทพฯ หรือออกไปชมธรรมชาติ อยู่เมืองนอกก็ได้ เป็นผู้หญิง ผู้ชาย เป็นคนไทย ฝรั่งก็แล้วแต่
นี่เป็นความสามารถของมนุษย์เรา พระพุทธเจ้าจึงเป็นอาจารย์ที่จะถึงใจมนุษย์ได้
(จากส่วนหนึ่งของ ธรรมบรรยาย เรื่อง อริยสัจ ๔ โดย พระราชสุเมธาจารย์ <พระอาจารย์สุเมโธ> ชาวอเมริกัน เจ้าอาวาสวัดอมราวดี ประเทศอังกฤษ)



