
เปิดผลสำรวจสารเคมีในผักผลไม้ พบสารตกค้าง 56%
ไทยแพนเปิดผลสำรวจสารพิษตกค้าง พบมีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน 56% ผักผลไม้จากห้างดัง และตรา Q หนักสุด "ส้ม คะน้า"ไม่ปลอดภัยสูงสุด
เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) นำโดย “นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์” ผู้ประสานงาน ได้แถลงผลการตรวจสารพิษตกค้างในผักและผลไม้รอบที่ 2 ประจำปี 2559 หลังจากสุ่มเก็บตัวอย่างผักและผลไม้ที่นิยมบริโภค 16 ชนิดระหว่างวันที่ 23-29 สิงหาคม 2559 ได้แก่ พริกแดง กะเพรา ถั่วฝักยาว คะน้า ผักบุ้ง ผักกาดขาวปลี กะหล่ำปลี แตงกวา มะเขือเปราะ และมะเขือเทศ และ ผลไม้ 6 ชนิด ได้แก่ ส้มสายน้ำผึ้ง มะละกอ แตงโม แคนตาลูป ฝรั่ง และแก้วมังกร รวมทั้งสิ้น 158 ตัวอย่าง
นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์
จากห้างโมเดิร์นเทรด 3 ห้างหลัก ได้แก่ บิ๊กซี แมคโคร เทสโก้โลตัส และตลาดค้าส่ง 3 ตลาด ได้แก่ ตลาดไท ตลาดปฐมมงคล จ.นครปฐม และตลาดศรีเมือง จ.ราชบุรี อีกทั้งได้เก็บตัวอย่างผักผลไม้ที่ติดฉลากปลอดภัย และ เกษตรอินทรีย์ จากห้างและซูเปอร์มาร์เก็ต หลายแห่ง อาทิ กูร์เมต์มาร์เก็ต ท็อปส์ โฮมเฟรชมาร์ท แม็กซ์แวลู วิลล่ามาร์เก็ต เลมอนฟาร์ม โกลเด้นเพลส ฟู้ดแลนด์ โดยส่งวิเคราะห์หาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างแบบ Multi Residue Pesticide Screen (MRPS) พบว่าผักและผลไม้โดยรวมมีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน (MRL) ถึง 56% (จากตัวอย่างที่เก็บทั้งหมด158 ตัวอย่าง)
นางสาวปรกชล เปิดเผยว่า แหล่งจำหน่ายที่พบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากที่สุดคือผักและผลไม้จากห้างโมเดิร์นเทรด เจอตกค้างมากสุดถึง 70.2% โดยเทสโก้โลตัสพบไม่ปลอดภัย12 จาก 16 ตัวอย่าง รองลงมา ได้แก่ แมคโคร11 จาก 16 ตัวอย่าง บิ๊กซี 10 จาก 15 ตัวอย่าง ส่วนตลาดค้าส่งพบตกค้างเกินมาตรฐาน 54.2%โดยตลาดไทพบ 10 จาก 16 ตัวอย่าง ตลาดปฐมมงคล 9 จาก 16 ตัวอย่าง และตลาดศรีเมือง 7 จาก 16 ตัวอย่าง“ตลาดศรีเมืองมีโครงการที่น่าสนใจ กล่าวคือส่งเสริมเกษตรกรให้พัฒนาการผลิตที่ปลอดภัย มีอาคารผักผลไม้ที่ปลอดภัยเพื่อรองรับผลผลิตดังกล่าวเป็นการเฉพาะ ทำให้พบการตกค้างน้อยกว่าแหล่งจำหน่ายอื่นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับผักที่พบสารพิษตกค้างเกินค่า MRL มากที่สุด คือ คะน้า 10 จาก 11 ตัวอย่าง ลำดับรองลงมาได้แก่พริกแดง 9 จาก 12 ตัวอย่าง ถั่วฝักยาวและกะเพราพบ 8 จาก 12 ตัวอย่าง ผักบุ้ง 7 จาก 12 ตัวอย่าง มะเขือเปราะ 6 จาก 11 ตัวอย่าง แตงกวา 5 จาก 11 ตัวอย่าง มะเขือเทศ 3 จาก 11 ตัวอย่าง ในขณะที่กะหล่ำปลีและผักกาดขาวปลีพบน้อยที่สุดเพียง 2 จาก 11 และ 12 ตัวอย่างตามลำดับ สอดคล้องกับผลการเฝ้าระวังของไทยแพนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ส่วนผลไม้ที่พบสารพิษตกค้างเกินค่า MRL มากที่สุด คือ ส้มสายน้ำผึ้ง 8 จาก 8 ตัวอย่าง รองลงมา ได้แก่ แก้วมังกร 7 จาก 8 ตัวอย่าง ฝรั่ง 6 จาก 7 ตัวอย่าง มะละกอและแตงโม 3 จาก 6 และ 7 ตัวอย่างตามลำดับ และแคนตาลูปพบ 1 จาก 7 ตัวอย่าง
ผลการตรวจผักที่ได้รับตรารับรองจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบสารพิษตกค้างเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดยฉลากสินค้า Q พบการตกค้างเกินมาตรฐาน 16 จาก 26 ตัวอย่างหรือ 61.5% ซึ่งสูงกว่าการตรวจพบในการสำรวจเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (57%) ส่วนผักผลไม้ที่ติดฉลากว่าเป็นสินค้าปลอดภัยโดยไม่มีตรารับรองมาตรฐานพบเกินมาตรฐาน 5 จาก 10 ตัวอย่าง ผักและผลไม้ที่มีตรารับรอง Organic Thailand ซึ่งกำกับดูแลโดยมกอช.พบสารพิษตกค้างเกินค่า MRL2 จาก 10 ตัวอย่าง ส่วนตรารับรองอินทรีย์อื่นพบใกล้เคียงกัน คือพบ 2 จาก 9 ตัวอย่าง ในขณะที่สินค้าที่ระบุว่าเป็นผักและผลไม้อินทรีย์ที่ขายในห้างต่างๆ ซึ่งไม่แสดงตรารับรองมาตรฐานนั้น พบสารพิษตกค้างเกินค่า MRL จำนวน 4 ตัวอย่างจากจำนวนที่สุ่มตรวจ 8 ตัวอย่าง
“สิ่งที่น่าตระหนกอย่างยิ่งคือการค้นพบว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ตามรายชื่อวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ซึ่งยกเลิกการใช้แล้ว ได้แก่ ไดโครโตฟอส เอ็นโดซัลแฟน เมทามิโดฟอส และโมโนโครโตฟอสรวมทั้งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ที่กรมวิชาการเกษตรไม่อนุญาตทะเบียน 2 ชนิด คือ คาร์โบฟูราน และเมโทมิล ตกค้างอยู่ในผลผลิตรวม 29 จาก 158 ตัวอย่าง หรือคิดเป็น 18.4%” นางสาวปรกชลกล่าว
ขณะที่ นางสาวกิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา จากกลุ่มกินเปลี่ยนโลกซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์ประเด็นอาหารร่วมกับไทยแพน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลหยิบยกประเด็นความปลอดภัยจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชให้กลายเป็นวาระสำคัญของประเทศ เพราะในญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปพบการตกค้างของสารพิษเกินมาตรฐานในระดับ 3-5% เท่านั้น พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องปฏิรูประบบรับรองมาตรฐานของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)อย่างเร่งด่วน รวมทั้งยุติความพยายามในการผลักดันมาตรฐานเกษตรอินทรีย์โดยทันที เพราะไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าจะทำให้ตรารับรองที่หน่วยงานกำกับดูแลอยู่จะมีความปลอดภัยกว่าสินค้าทั่วไปในท้องตลาดได้แต่อย่างใด
ส่วนกรณีการพบสารต้องห้ามในผักและผลไม้นั้น นางสาวกิ่งกร กล่าวว่า “เป็นบทบาทหน้าที่ของนายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรคนใหม่ต้องดำเนินการ โดยควรร่วมกับกองบังคับการปราบปรามคุ้มครองผู้บริโภค(บก.ปคบ.)ใช้หลักฐานจากไทยแพนเพื่อสืบสวนย้อนกลับจับกุมผู้ครอบครองและจำหน่ายสารพิษดังกล่าวมาลงโทษโดยเร็ว”
“เสนอให้ภาครัฐมีการสุ่มตรวจ อย่างเป็นกลาง โปร่งใส ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า และเฝ้าระวังอย่างสม่ำเสมอ คือการตรวจสอบทุกฤดูกาล ประมาณ 3 ครั้งต่อปี และการให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมด้วยการนำตัวอย่างส่งตรวจเข้าห้องแลปที่น่าเชื่อถือได้ สำหรับวันพรุ่งนี้ (7 ตุลาคม 2559) ทางกลุ่มไทยแพลนจะมีการยื่นเอกสารผลตรวจดังกล่าวไปยังกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาํารณสุข(สธ.) เพื่อให้ติดตามดำเนินการทางกฎหมายต่อไป” นางสาวกิ่งกร กล่าว ในที่สุด