
เรียนรู้เลี้ยงหมูนอนในฟาร์มสเตย์ณ หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า
ย้อนเมื่อ 31 ปีก่อนพื้นที่ส่วนหนึ่งของ ต.บ้านซ่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ที่เป็นป่ารกร้างกว้างใหญ่ไพศาลกินเนื้อที่จำนวน 1,253 ไร่ เป็นพื้นที่ที่มีสภาพดินคุณภาพต่ำ ไม่สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้เลยนั้น ถูกเนรมิตเป็นชุมชนเลี้ยงสุกรขนาดย่อมมี 50 ครัวเรือน
ที่มาจากการส่งเสริมในรูปของโครงการ 4 ประสาน คือทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และเกษตรกร โดยมี ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เป็นผู้จุดประกาย เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรปลดแอกจากวังวนความยากจน สร้างฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีบ้าน มีที่ทำกิน และโรงเรือนเลี้ยงสุกรเป็นของตนเอง ทำให้หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าก่อกำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 2521 เป็นต้นมา
หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า นับเป็นหมู่บ้านที่มีความเข้มแข็ง ชาวบ้านรวมตัวกันจัดตั้งเป็นนิติบุคคลในนาม บริษัท หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จำกัด ตั้งแต่ปี 2530 โดยมีเกษตรกรเป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้น ซึ่งจากการรวมตัวที่เข้มแข็งส่งผลให้การบริหารหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าทั้งด้านการพัฒนาชุมชน อาชีพ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างลงตัวและต่อเนื่อง จนอาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนเลี้ยงสุกรทันสมัยที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะสมาชิกในชุมชนมีความเป็นปึกแผ่น และมุ่งมั่นสืบทอดอาชีพที่มั่นคงอย่างยั่งยืน จนกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงาน แหล่งเรียนรู้ และศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงสุกรที่ทันสมัย จนวันนี้หมู่บ้านแห่งนี้พัฒนาเป็น "ฟาร์มสเตย์หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า"
"ที่จริงหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า กำเนิดขึ้นมาจริงๆ จากพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เมื่อปี 2518 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นว่าเกษตรกรควรมีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง จึงมีพระราชดำริขึ้นมา ที่ตรงนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปที่ดินในประเทศไทย โดยท่านประธานธนินท์ เจียรวนนท์ จัดทำโครงการ 4 ประสานขึ้นมา โดยเน้นให้เกษตรกรที่ยังยากจน ขาดโอกาสในการดำรงชีวิตให้ดีขึ้น จึงเข้ามาส่งเสริมให้ชาวหนองหว้ามีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่แน่นอนจึงจัดพื้นที่ทำกินให้ครอบครัวละ 24 ไร่ บ้าน 1 หลัง โรงเรือนเลี้ยงสุกร ในช่วงแรกมอบแม่สุกรครอบครัวละ 30 แม่ แต่ตอนนี้เลี้ยงกันครอบครัวละ 100-700 ตัว และให้ชาวบ้านที่ร่วมโครงการผ่อนผ่านสถาบันการเงินเป็นเวลา 10 ปี ตอนนี้ผ่อนกันหมดแล้ว" ภักดี ไทยสยาม ประธานกรรมการบริษัทหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จำกัด กล่าว
ส่วนการเลี้ยงสุกรนั้น ภักดีบอกว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เป็นพี่เลี้ยง ถ่ายทอดความรู้ในการเลี้ยงแบบทันสมัยโดยใช้โรงเรือน โดยเริ่มต้นจากระดับง่ายๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาสู่ระดับที่ก้าวหน้าและทันสมัยขึ้น มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเลี้ยงแบบโรงเรือนติดระบบปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ หรืออีแวป และการพัฒนาการผสมพันธุ์สุกรมาเป็นการผสมเทียม มีการนำมูลสุกรเข้าสู่ระบบบ่อหมักแก๊สชีวภาพ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ ซีพีเอฟ หาตลาดรองรับผลผลิตและประกันราคารับซื้อลูกสุกรจากเกษตรกรที่ร่วมโครงการ รวมทั้งยังสอนวิธีบริหารจัดการด้านบัญชีการเงิน และเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้แก่เกษตรกรทุกราย ตอนนี้เกษตรกรที่เลี้ยงหมู่มีรายได้เฉลี่ยตกเดือนละ 8 หมื่นบาท จากเริ่มต้นเมื่อ 30 ปีก่อนมีรายได้เพียงเดือนละ 2,000 บาทเท่านั้น
"ที่ผ่านมาเรายอมรับว่า ลูกหลานของพวกเราเริ่มมีปัญหา คือพ่อแม่เลี้ยงสุกรส่งลูกเรียน พอเรียนจบไปทำงานในเมือง คนที่จะสืบทอดการเลี้ยงสุกรเริ่มหายไป ตรงนี้เราจึงเน้นในการปลูกจิตสำนึกด้านอาชีพการเลี้ยงสุกร และอาชีพเกษตร เพราะที่นี่ไม่เพียงอาชีพการเลี้ยงสุกรที่ทันสมัยอย่างเดียว แต่มีอาชีพรองอย่างอื่นเพื่อสร้างรายได้เสริม ซึ่งสุดแต่ใครถนัดหรือความชอบของแต่ละคน เช่น เลี้ยงไก่พื้นเมือง ปลูกยางพารา ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ และปลูกไผ่หวาน เป็นต้น เมื่อทุกอย่างลงตัว ชุมชนเราเข้มแข็ง มีคนดูงานมากมาย เราจึงพัฒนาหมู่บ้านของเราเป็นฟาร์มสเตย์หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า เพื่อเป็นเครื่องมือในการบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จที่ยั่งยืนของชุมชนเรา โดยมีการจัดเยาวชน ให้เป็นมัคคุเทศก์ในโครงการมัคคุเทศก์ ซึ่งเป็นลูกหลานของพวกเราไว้บริการผู้มาเยือน" ภักดี กล่าว
เพิ่มพูน โคแก้ว มัคคุเทศก์น้อยวัย 13 ปี ซึ่งเป็นลูกหลานเกษตรกรที่หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า บอกว่า กิจกรรมในฟาร์มสเตย์หนองหว้า มีอยู่หลากหลาย อาทิ ฟุตบอล บาสเกตบอล ขี่จักรยาน ขี่ม้า ตกปลา การทำไม้กวาด การทำปุ๋ยอินทรีย์ปั้นเม็ด การขยายพันธุ์พืช การเพาะเห็ดฟาง การเลี้ยงสุกร และการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า รวมถึงกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ อาทิ ร่วมปลูกป่า เพื่อลดภาวะโลกร้อน เป็นต้น
ด้าน ชัยวัฒน์ ศีตะจิตต์ อดีตผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน บอกว่า มีโอกาศไปพักผ่อนที่ฟาร์มสเตย์หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้ามาแล้ว เป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่ เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี บ้านเรือนใหญ่โตรูปทรงสมัยใหม่ ไม่แตกต่างไปจากกรุงเทพฯ ที่รู้สึกประทับใจมากคือความเป็นมิตรของชาวบ้านแทบทุกคน หากผู้สนใจเลี้ยงสุกรถือโอกาสไปเรียนรู้ และพักผ่อนภายในตัวจะคุ้มมาก เพราะเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสุกรจะบอกเล่าถึงขั้นตอนต่างๆ ในการเลี้ยงสุกรตั้งแต่การผสมพันธุ์เทียม วิธีการดูแล้แม่สุกรตั้งแต่ตั้งท้อง จนออกลูก จนถึงอายุ 20 วันที่เกษตรกรนำไปขาย
หากคิดจะไปพักผ่อนก็มีกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งขี่ม้า ตกปลา เล่นกีฬา ปั่นจักรยานที่มีบริการให้คันละไม่กี่บาท ส่วนที่พักสะอาด มีแอร์ แต่ไม่มีเตียง เป็นที่เจ้าของบ้านนอนด้วย คิดค่าบริการที่พักหัวละ 150 บาท อาหารการกินมีให้เลือก เช่นจะซื้อกินเอง จะสั่งกลุ่มแม่บ้านทำ หรือจะกินกับเจ้าของบ้านที่ลูกค้าพักก็ได้
อาจเรียกได้ว่าหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าเป็นชุมชนต้นแบบที่สมาชิกในชุมชนมีความสามัคคี และมุ่งมั่นสืบทอดอาชีพสู่ความยั่งยืน ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งศึกษาดูงาน ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงสุกรที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย