ไลฟ์สไตล์

"ช่างสลักดุน”รู้อดีตสู่ปัจจุบัน

"ช่างสลักดุน”รู้อดีตสู่ปัจจุบัน

02 ส.ค. 2559

ตระการตานิทรรศการ “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่าง จากอดีตสู่ปัจจุบัน

 

\"ช่างสลักดุน”รู้อดีตสู่ปัจจุบัน

          ในอดีตกาล งานบุดุน ดุนโลหะ หรือ สลักดุน ล้วนเป็นเทคนิก หรือวิธีการสร้างสรรค์ผลงานอันเป็นสิ่งที่สูงค่ายิ่งนับจากเครื่องราชูปโภค เครื่องประกอบพระราชพิธี ของพระมหากษัตริย์ ทั้งยังเป็นศิลปวัตถุสำคัญทางศาสนา รวมถึงเป็นเครื่องแสดงถึงอัจฉริยะ ทักษะความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานเชิงช่าง และนับเป็นศิลปหัตถกรรมแขนงหนึ่งที่เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของบรรพบุรุษในแต่ละยุคสมัย ดังนั้นเพื่อต้องการเผยแพร่องค์ความรู้งานหัตถกรรม “สลักดุน” ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ ศ.ศ.ป. จัดนิทรรศการ “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่าง จากอดีตสู่ปัจจุบัน ด้วยการนำเอาศิลปะที่มีรูปแบบจากวัฒนธรรมจากประเทศต่างๆ ได้แก่ เมียนมาร์, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, จีน, เนปาล และประเทศไทย รวมกว่า 350 ชิ้น มาจัดแสดงให้ผู้สนใจได้ชม โดย อัมพวัน พิชาลัย ผอ.ศ.ศ.ป. เป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดงาน ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า เมื่อวันก่อน

 

\"ช่างสลักดุน”รู้อดีตสู่ปัจจุบัน

          นอกจากการจัดแสดงหัตถกรรมสลักดุนต่างๆ ในงานยังเชิญครูผู้มีทักษะฝีมืองาน “สลักดุน” อย่าง  ครูดิเรก สิทธิการณ ครูศิลป์ของแผ่นดิน ศ.ศ.ป. งานหัตถกรรมโลหะ-สลักดุน ภาคเหนือ, ธีรชัย จันทรังษี นักวิชาการช่างศิลป์ชำนาญการพิเศษ สำนักช่างสิบหมู่ ผู้เชี่ยวชาญงานดุนโลหะ-สลักดุน ภาคใต้, และ บุญชัย ทองเจริญบัวงาม นักจัดการงานในพระองค์ฯ กองศิลปกรรม สำนักพระราชวัง ผู้เชี่ยวชาญงานดุนโลหะ-สลักดุน ภาคกลาง ภาคอีสาน และเครื่องใช้ในราชสำนัก มาร่วมพูดคุยในหัวข้อเดียวกับชื่อนิทรรศการ โดยมี อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา
อัมพวัน พิชาลัย กล่าวว่า ศ.ศ.ป. เล็งเห็นถึงความสำคัญในงานหัตถกรรมประเภทดุนโลหะ หรือ สลักดุน ซึ่งถือได้ว่าเป็นมรดกช่างศิลป์ไทยอันควรค่าแก่การเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปได้ตระหนักรู้ในคุณค่า ชื่นชมและภูมิใจ และหวังให้เกิดการร่วมใจในการอนุรักษ์งานศิลป์เหล่านี้ไว้เป็นมรดกของชาติให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้สืบไป จึงจัดนิทรรศการ “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่าง จากอดีตสู่ปัจจุบันขึ้น เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้งานหัตถกรรมสลักดุนทั้งที่เป็นงานเครื่องราชูปโภค เครื่องตกแต่ง เครื่องประกอบพระราชพิธี เครื่อเบญจราชกกุธภัณฑ์ของพระมหากษัตริย์ในราชสำนักสยามในอดีต ศิลปวัตถุสำคัญทางศาสนา ศิลปะที่มีรูปแบบจากวัฒนธรรมต่างๆ เช่น วัฒนธรรมมอญ เขมร อินเดีย ตลอดจนงานหัตถกรรมสลักดุนของไทย ทั้งในรูปแบบเอกลักษณ์ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ที่สะท้อนถึงองค์ความรู้ภูมิปัญญาทั้งศาสตร์และศิลป์เชิงช่างเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ และรับรู้ถึงคุณค่าแห่งมรดกช่างศิลป์ในงานสลักดุนนับจากในอดีตกาล จนถึงปัจจุบัน
          “สำหรับนิทรรศการ “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่าง จากอดีตสู่ปัจจุบัน ประกอบด้วย ข้อมูลองค์ความรู้รูปแบบงานสลักดุนโลหะในประเทศไทยยุคแรกๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจและอิทธิพลจากศิลปะอินเดียเป็นต้นแบบ, ข้อมูลองค์ความรู้รูปแบบงานสลักดุนโลหะที่พบในประเทศไทยที่แสดงรูปแบบ ทั้งแบบศิลปะอินเดีย จีน พม่า กัมพูชา ลาว เชียงแสน และสุโขทัย ที่ถือเป็นยุคที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของงานสลักดุนโลหะของไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานสลักดุนโลหะทองคำ, ข้อมูลองค์ความรู้งานสลักดุนโลหะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และศิลปวัตถุสำคัญทางศาสนา ข้อมูลองค์ความรู้งานสลักดุนในอารยธรรมยุคโบราณของโลก เช่น อียิปต์, กรีก-โรมัน” ผอ.ศ.ศ.ป. กล่าว

  \"ช่างสลักดุน”รู้อดีตสู่ปัจจุบัน  

          ครูดิเรก สิทธิการณ เล่าถึงอิทธิพลอันเป็นที่มาของงานช่างสลักดุนทางภาคเหนือของประเทศไทย ว่าน่าจะมาจากพม่า  เช่น กลุ่มบ้านวัวลาย และ กลุ่มบ้านศรีสุพรรณ แต่เดิมบรรพบุรุษตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านหัตถกรรมเครื่องเงินอยู่ในแขวงเมืองปั่นแถบลุ่มแม่น้ำสาละวินมีชื่อเรียกว่าบ้านงัวลาย (งัว เป็นภาษาถิ่นแปลว่า วัว) หลักฐานในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่และตำนานราชวงศ์ปกรณ์เชียงใหม่กล่าวว่าในสมัยของพระเจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในสมัยนั้นได้รวบรวมผู้คนจากหัวเมืองต่างๆ ให้เข้ามาอยู่อาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อเข้ามาอยู่ก็ได้มีการสอนชาวบ้าน โดยที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้อย่างเหนียวแน่นคือการตีขันในลวดลาย 12 นักษัตร, ดอกไม้, ดอกกระถิน และใบไม้ไขว้บนขัน เป็นต้น อีกหนึ่งอิทธิพลที่ได้รับมาจากพม่าคือการสลักดุนที่ลอยตัวออกมาชัดเจนมากๆ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มหัตถกรรมบ้านแม่ย่อย ซึ่งในส่วนนี้ว่าวกันว่าได้รับอิทธิพลมาจากทางฝั่งลาว

 

\"ช่างสลักดุน”รู้อดีตสู่ปัจจุบัน

          ลงไปที่ภาคใต้ ธีรชัย จันทรังษี เล่าว่าช่างสลักดุนของเมืองนครศรีธรรมราช มีความเชื่อมโยงมาจากช่างบุ สมัยกรุงศรีอยุธยา ในยุคสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งเชื่อว่ามาจาก 2 ช่องทางได้แก่ ช่างจากเซี่ยงไฮ้ และ ทางกรุงศรีอยุธยา ลักษณะงานนั้นมีเครื่องถมเข้ามาก่อนแล้วจึงค่อยมีงานสลักดุนเกิดขึ้นมา ส่วนลวดลายเน้นงานบุ (ห่อหุ้ม) และ ดุน ในสมัยก่เรียกว่า พุ่มแผง ที่เห็นชัดคือ บุษบกทองคำหุ้มไม้ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ พระแก้วมรกต

\"ช่างสลักดุน”รู้อดีตสู่ปัจจุบัน

          อ.บุญชัย ทองเจริญบัวงาม เล่าให้ฟังถึงความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างช่างสลักดุนไทยแถบภาคอีสานกับประเทศเพื่อนบ้านว่า อย่างงานช่างในหลวงพระบางตามประวัติศาสตร์มีการลื่นไหลเข้าสู่สยามประเทศในช่วงรัชกาลที่ 1 พื้นที่เขตปกครองสยามประเทศโอบล้อมพื้นที่อาณาเขตต่างๆ และภาคอีสานในปัจจุบันนี้ก็คือ อาณาจักรล้านช้าง  แต่เมื่อมาแบ่งเขตโดยใช้แม่น้ำโขงเป็นที่กั้น บางส่วนก็คือ อีสาน บางส่วนก็คือล้านช้าง แต่เราจะเรียกคนอีสานว่า อีสานล้านช้าง และเหตุนี้จึงมีการแบ่งช่างออกเป็น 3 ประเภทได้แก่ ช่างมหาดเล็กรักษาพระองค์ใกล้ชิด, ช่างหลวงตามท้องพระคลัง 12 แห่ง และ ช่างเชลย ดังนั้นงานศิลปะต่างๆ บ่งบอกได้ถึงเชิงช่างที่มันคาบเกี่ยวกันอยู่ งานต่างๆ จึงออกมาในรูปลักษณ์ของประติมากรรม งานสถาปัตยกรรมต่างๆ ของเชิงช่าง อย่างในแถบหนองคายนครพนมได้รับอิทธิพลมาจากลาวเวียงจันทน์โดยเชื้อสาย เป็นกลุ่มเชื้อสายที่มีเชิงช่างจำพวกเครื่องเงินรูปพรรณหรือเครื่องทองรูปพรรณ ส่วนทางด้านอีสานใต้แถวจังหวัดสุรินทร์ ได้รับวัฒนธรรมมาจากเขมร มีชื่อเสียงโด่งดังเกี่ยวกับลูกประเกือม แต่ถ้าไปทางจังหวัดอุบลราชธานีจะแบ่งออกเป็น 3 ช่าง ได้แก่ ช่างจีน, ช่างลาวเชื้อสายจำปาสัก หลวงพระบาง และ ช่างญวณ
          นิทรรศการ “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่าง จากอดีตสู่ปัจจุบัน จัดแสดงแล้วตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 4 กันยายน 2559 ณ พิพิิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า วันพุธ-วันอาทิตย์ โดยไม่เสียค่าเข้าชม...