
ตะลึง! หนึ่งเดียวในโลก แข่งเรือแจวด้วยเท้า
นานมาแล้ว ที่ผมรับรู้เรื่องการแข่งเรือโดยฝีพายใช้เท้าแจวเรือพร้อมๆ กัน มีทั้งประเภทชายหมู่และหญิงหมู่ จากหนังสือ ไทยเที่ยวพม่า พระราชนิพนธ์ใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหภาพพม่าอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 25
ความจริงนอกจากชาวอินต่าในทะเลสาบอินเล ยังมีคนที่แจวเรือด้วยเท้าอีกชนชาติหนึ่งคือเวียดนาม ผมเคยเห็นในแม่น้ำไซ่ง่อน แต่เป็นการนั่งลงกับพื้นเรือแล้วใช้เท้าถีบแจว ซึ่งใช้ได้กับเรือขนาดเล็ก เพราะการนั่งมีพละกำลังน้อยกว่าการยืน อย่างที่ชาวอินต่ายืนบนเรือด้วยขาข้างหนึ่ง แล้วใช้ขาและเท้าอีกข้างหนึ่งตวัดใบพาย เรือลำใหญ่แค่ไหนก็ขับเคลื่อนไปได้ นับเป็นความสามารถเฉพาะตัว ที่แม้ไม่ห้ามใครลอกเลียนแบบ ก็ยากจะมีใครทำตาม เพราะแค่สมดุลกายให้ยืนขาเดียวบนเรือได้ก็แทบแย่แล้ว แต่ชาวอินต่าทำได้คล่องแคล่ว ราวกับกำลังเต้นบัลเลต์กลางสายน้ำ สมนาม “อินต่า” ที่แปลว่าลูกทะเลสาบ
ไม่ผิดนักที่จะบอกว่าอินต่าเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ คืออยู่กับน้ำจนสามารถปลูกพืชผัก กระทั่งทำนาข้าว ในแปลงผักแปลงนาที่ลอยเท้งเต้งในทะเลสาบได้ พอลมพายุพัดมาแรงๆ ทำแปลงผักลอยหายไป พวกเขาก็พัฒนาตนเองให้มีศักยภาพถึงขั้นยืนและใช้เท้าแจวเรือไปตามน้ำพักน้ำแรงคืนมา เพราะการยืนทำให้มองได้ไกล และการใช้เท้าก็ทำให้แจวได้เร็วกว่าใช้มือ นานวันเข้า จึงเกิดการประชันขันแข่ง โดยเฉพาะในเทศกาลบุญใหญ่ที่สุดในรอบปี คือประเพณีชักพระทางน้ำ เนื่องในวันออกพรรษาของทุกปี
งานนี้เอิกเกริกเพราะมิได้อัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ออกมาโปรดสัตว์กัน 1-2 วันเหมือนงานชักพระบ้านเรา แต่ที่อินเลเขาชักพระทางน้ำกันครึ่งเดือน ตระเวนไปแทบทุกหมู่บ้านรอบทะเลสาบ โดยไม่ได้ชักลากเรือพระด้วยเครื่องยนต์กลไก แต่ใช้พลังขาของคนหนุ่มชาวอินต่า ลงเรือยาวลำละ 70-80 คน แจวเรือด้วยเท้าไปพร้อมๆ กัน อลังการตระการตาสะท้อนถึงพลังศรัทธาน่าชมเป็นที่สุด ว่ากันว่า ชายชาวอินต่าเกิดมาทั้งทีต้องทำบุญกุศลครั้งใหญ่ ด้วยการลงเรือชักพระให้ครบสามครั้งในชีวิต
ชักพระกันนานๆ ก็อาจมีเบื่อหน่ายบ้างเป็นธรรมดา จึงเกิดประเพณีแข่งเรือแจวด้วยเท้าเพื่อความสนุกสนานสมานฉันท์ แถมบางตำนานยังเชื่อว่าการแข่งเรือเป็นสัญลักษณ์มงคล เสริมส่งให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์พูนผลอีกด้วย คราวนี้สาวๆ ชาวอินต่า ซึ่งไม่ได้รับสิทธิ์ให้ลงเรือแจวชักพระ (นัยว่าเพราะการมีประจำเดือนของพวกเธอเป็นอุปสรรค ทำให้ไม่สะอาดพอ ทั้งๆ ที่จิตใจอาจสะอาดกว่าผู้ชายมากมายนัก) ก็จะได้สำแดงพลังขาให้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยการลงแข่งแจวเรือด้วยเท้าอย่างทะมัดทะแมงแข็งขันไม่แพ้ชาย เผลอๆ จะสนุกกว่า เพราะพวกเธอแจวกันสนั่นคลอง ไม่สนว่าผ้าถุงซิ่นจะปลิวว่อน เพราะมีกางเกงขาสั้นกันโป๊ไว้แล้ว
ในพระราชนิพนธ์ “ไทยเที่ยวพม่า” สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราขกุมารี ทรงบรรยายไว้ว่า “...ฝีพายของเรือแต่ละลำเขาจะยืนพายด้วยเท้า มีราวไม้ไผ่อยู่กลางเรือให้คนพายจับ มีคนนั่งวิดน้ำอยู่ลำละ 2 คน ใช้จานสังกะสีที่ใช้กินข้าวนี่แหละเป็นเครื่องมือวิดน้ำ มีกรรมการอยู่ในเรือคอยยกธงขาวเป็นสัญญาณ มีกระบอกไม้ยาว ๆ พาดอยู่ที่เรือ ในกระบอกมีไม้ยาวๆ วางอยู่ ใครมาถึงก่อน ถ้ายังไม่ได้ดึงไม้ยาวนี้ออกจากกระบอก ก็ยังถือว่าชนะ...”
ผมมีโอกาสสัญจรสู่ทะเลสาบอินเลหลายครั้ง แต่เพิ่งได้ชมการแข่งเรือแจวด้วยเท้าเป็นครั้งแรกในเทศกาลออกพรรษา เดือนตุลาคม ปี 2551 ทั้งตื่นเต้น ทั้งเหนื่อยกับการแหวกผู้คนล้นหลามเพื่อจะได้ภาพมาฝากท่านผู้อ่าน โชคดีที่ชาวบ้านท่านหนึ่งอนุญาตให้ขึ้นไปบนระเบียงบ้าน ซึ่งเห็นการแข่งเรือชัดเจน แต่ที่ต้องยอมแพ้ใจกันก็ตรงที่ใจดีให้คนแปลกหน้าขึ้นบ้านแล้ว ยังให้ลูกหลานนำน้ำชากับขนมเนื่องในงานบุญออกพรรษา มาเสิร์ฟให้อาคันตุกะอย่างผมอิ่มหนำสำราญอีกด้วย
เลยนึกถึงคำถามยอดนิยมที่ผมได้รับจากหลายๆ ท่าน คือไปเที่ยวพม่าแล้วปลอดภัยหรือเปล่า ผมเข้าใจดีว่าท่านอาจเห็นความโหดร้ายของเผด็จการทหารพม่า จากข่าวการปราบปรามจลาจลเรียกร้องประชาธิปไตย จนเข้าใจว่าชาวพม่าป่าเถื่อนเหมือนทหารพม่า ทั้งๆ ที่ความจริงพวกเขาส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธที่เคร่งครัด และมีบุคลิกอบอุ่นอ่อนโยน มีน้ำใจต่อผู้มาเยือนไม่ด้อยกว่าคนไทย เดินเที่ยวตามถนนหนทางในพม่าจึงปลอดภัยเช่นกัน
ซึ่งเดือนตุลาคม 2552 ที่จะถึงนี้ ประเพณีชักพระทางน้ำและแข่งเรือในเทศกาลออกพรรษาที่ทะเลสาบอินเลจะเวียนมาถึงอีกครั้ง ผมจะนำคณะผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไปชมงานนี้ด้วย ในระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม ท่านที่สนใจจะร่วมเดินทางไปด้วยกัน สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร. 0-2367-7321-2 ผมเองเคยชมแล้ว ก็ยังตื่นเต้นที่จะได้ไปชมสักครั้ง อย่างที่มีพุทธวัจจะกล่าวไว้ ว่าการได้เห็นได้ชมสิ่งอันเป็นมงคล ถือเป็นมงคล 1 ใน 108 ประการของชีวิต
เรื่อง - ภาพ... "ธีรภาพ โลหิตกุล"